พระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษ
สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษ (อังกฤษ: Henry IV of England) (3 เมษายน ค.ศ. 1367 – 20 มีนาคม ค.ศ. 1413) เป็นพระเจ้าแผ่นดินราชวงศ์แลงคาสเตอร์ของราชอาณาจักรอังกฤษและราชอาณาจักรไอร์แลนด์
พระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษ | |
---|---|
พระมหากษัตริย์อังกฤษ | |
ครองราชย์ | 30 กันยายน ค.ศ. 1399 – 20 มีนาคม ค.ศ. 1413 |
ราชาภิเษก | 13 ตุลาคม ค.ศ. 1399[1] |
รัชกาลก่อนหน้า | สมเด็จพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 แห่งอังกฤษ |
รัชกาลถัดไป | สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษ |
พระราชสมภพ | 3 เมษายน ค.ศ. 1367[2] ปราสาทโบลิงโบรค, ลิงคอล์นเชอร์ ในอังกฤษ |
สวรรคต | 20 มีนาคม ค.ศ. 1413
~(45 ปี) Jerusalem Chamber ลอนดอน |
พระราชบุตร | สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษ ทอมัส ดยุกแห่งแคลเร็นซ์ |
สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษ | |
ราชวงศ์ | แลงคาสเตอร์ |
พระราชบิดา | จอห์นแห่งกอนท์ ดยุกแห่งแลงคาสเตอร์ที่ 1 |
พระราชมารดา | บลานซแห่งแลงคาสเตอร์ |
ลายพระอภิไธย |
สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1367 ที่ปราสาทโบลิงโบรค, ลิงคอล์นเชอร์ ในอังกฤษ เป็นพระราชโอรสของจอห์นแห่งกอนท์ ดยุกแห่งแลงคาสเตอร์ที่ 1 และ บลานซแห่งแลงคาสเตอร์ ทรงเสกสมรสกับแมรีแห่งโบฮุน และทรงราชย์ระหว่างวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1399 จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1413 ที่เวสท์มินสเตอร์แอบบี ลอนดอน
วัยเยาว์
แก้พระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1367 ที่ปราสาทบอลิงบรูก พระองค์เป็นบุตรชายของจอห์นแห่งกอนท์ ดยุคแห่งแลงคัสเตอร์ (พระราชโอรสที่มีชีวิตรอดลำดับที่สามของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3) กับบลานช์แห่งแลงคัสเตอร์ ซึ่งทั้งคู่มีบุตรด้วยกันหกคน เฮนรีเป็นบุตรคนที่ห้าและเป็นบุตรชายที่มีชีวิตรอดลำดับที่สาม เนื่องจากเกิดที่ปราสาทบอลิงบรูกเฮนรีจึงถูกเรียกว่าเฮนรี บอลิงบรูก หลังเสด็จพระราชสมภพได้หนึ่งปีบลานช์แห่งแลงคัสเตอร์ พระมารดาของพระองค์ก็ถึงแก่กรรมที่ปราสาททัตบรี โดยสันนิษฐานว่าน่าจะป่วยเป็นกาฬโรค พระบิดาของเฮนรีสมรสใหม่ด้วยเหตุผลทางการเมืองกับกอนส์ตันซาแห่งกัสติยา เจ้าหญิงสเปนซึ่งเป็นพระราชธิดาคนโตของพระเจ้าเปโดรผู้โหดเหี้ยมแห่งกัสติยา
บอลิงบรูกน้อยเป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กของริชาร์ด บอร์โดซ์ ลูกพี่ลูกน้องชั้นที่หนึ่งซึ่งเป็นบุตรชายของเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายดำ พระราชโอรสคนโตของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 (พระเชษฐาของจอห์นแห่งกอนท์ พระบิดาของเฮนรี) ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1377 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ได้แต่งตั้งพระราชนัดดาน้อยทั้งสองเป็นอัศวินการ์เตอร์ ต่อมาในวันที่ 21 มิถุนายนพระองค์เสด็จสวรรคต เนื่องจากเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายดำ พระราชโอรสคนโตของพระองค์สิ้นพระชนม์ไปก่อนแล้ว ริชาร์ด บุตรชายวัย 10 ปีของเจ้าชายดำจึงได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ตามสิทธิของบุตรหัวปี โดยมีจอห์นแห่งกอนท์ พระบิดาของเฮนรีและพระปิตุลาของกษัตริย์ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เฮนรีให้การสนับสนุนพระเจ้าริชาร์ดอย่างเต็มที่และกษัตริย์ได้ตั้งเฮนรีเป็นเอิร์ลแห่งเดอร์บีในวันที่ 16 กรกฎาคมของปีนั้น
ในปี ค.ศ. 1378 จอห์นแห่งกอนท์ พระบิดาของเฮนรีต้องการให้เฮนรีสมรสกับแมรี เดอ โบฮัน บุตรสาวและทายาทของฮัมฟรีย์ เดอ โบฮัน เอิร์ลแห่งเฮริฟอร์ด กอนท์ได้ลักพาตัวแมรีจากปราสาทเพรสชีมายังปราสาทอารันเดล โดยมีโจน มารดาของแมรีให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่จอห์นแห่งกอนท์ในการเคลื่อนย้ายตัวบุตรสาว เฮนรีกับแมรีได้สมรสกันในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1380 ที่ปราสาทอารันเดล แต่เนื่องจากทั้งคู่ยังอายุน้อย (เจ้าสาวมีอายุเพียง 12 ปี) จึงมีการแนะนำว่าควรปล่อยให้การสมรสไม่สมบูรณ์ไปก่อน แต่ทั้งคู่ไม่ยอมทำตามคำแนะนำ ในปี ค.ศ. 1382 แมรีได้ให้กำเนิดบุตรชายที่มีอายุอยู่ได้เพียง 4 วัน เฮนรีกับแมรีมีบุตรธิดาด้วยกัน ดังนี้
- เอ็ดเวิร์ด (เกิด ค.ศ. 1382) มีอายุอยู่ได้เพียง 4 วัน
- เฮนรี (เกิด ค.ศ. 1387) ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษ
- ทอมัส (เกิด ค.ศ. 1388) ดยุคแห่งแคลเรนซ์
- จอห์น (เกิด ค.ศ. 1389) ดยุคแห่งเบดฟอร์ด
- ฮัมฟรีย์ (เกิด ค.ศ. 1390) ดยุคแห่งกลอสเตอร์
- บลานช์ (เกิด ค.ศ. 1392)
- ฟิลิปปา (เกิด ค.ศ. 1394)
ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1384 เฮนรีได้เป็นเอิร์ลแห่งนอร์แทมตันโดยสิทธิ์ของภรรยา
ความขัดแย้งกับพระเจ้าริชาร์ดที่ 2
แก้ในปี ค.ศ. 1386 จอห์นแห่งกอนท์ได้ออกเดินทางไปทำศึกในสเปน ในตอนนั้นเฮนรีมีอายุได้ 20 ปี แม้จะรูปร่างเตี้ยแต่พระองค์มีร่างกายกำยำ ทรงมีผมสีน้ำตาลแดง เคราสีแดง และดวงตาสีน้ำตาล ทั้งยังกล้าหาญและกระฉับกระเฉงตามแบบราชวงศ์แพลนแทเจเนต พระองค์เป็นหนึ่งในห้าผู้นำของกลุ่มขุนนางที่มีชื่อเรียกว่า "กลุ่มขุนนางผู้อุทธรณ์ (อังกฤษ: Lords Appellant)" ร่วมกับริชาร์ด ฟิตซ์อลัน เอิร์ลที่ 11 แห่งอารันเดล, ธอมัสแห่งวูดสต็อก ดยุคที่ 1 แห่งกลอสเตอร์, ธอมัส เดอ มาวบราย ดยุคที่ 1 แห่งนอร์ฟอล์ก และธอมัส เดอ โบแชมป์ เอิร์ลที่ 12 แห่งวอริค โดยขุนนางกลุ่มนี้ได้ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ที่มีความเป็นทรราชย์มากขึ้นเรื่อยๆ
ปีต่อมาในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1387 เฮนรีร่วมกับกลุ่มขุนนางผู้อุทธรณ์นำกองทัพคว้าชัยชนะเหนือกษัตริย์ ต่อมาในช่วงปลายเดือนนั้นกลุ่มขุนนางผู้อุทธรณ์ได้เข้าพบพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ที่หอคอยแห่งลอนดอน กษัตริย์จำใจต้องทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มขุนนางผู้อุทธรณ์อย่างไม่มีทางเลือก ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1388 กลุ่มขุนนางผู้อุทธรณ์ได้ตั้งรัฐสภาที่มีชื่อเรียกว่า "รัฐสภาอันไร้ความปราณี (อังกฤษ: Merciless Parliament)" และได้ออก "ฎีกาว่าด้วยผู้ทรยศ (อังกฤษ: Appeal of Treason)" เพื่อกำจัดกลุ่มผู้ฝักใฝ่ฝรั่งเศสซึ่งเป็นขุนนางและผู้ติดตามในครัวเรือนของพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 โดยไม่สนใจกฎหมาย ต่อมาในวันที่ 4 มิถุนายน รัฐสภาอันไร้ความปราณีถูกยุบ พระเจ้าริชาร์ดได้กลับมาปกครองแต่อยู่ในสถานะกษัตริย์หุ่นเชิดที่ถูกชักใยโดยกลุ่มขุนนางผู้อุทธรณ์ ตลอดระยะเวลาสามปีต่อมาได้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นเป็นระยะ พระเจ้าริชาร์ดเริ่มได้อำนาจกลับมา และเมื่อจอห์นแห่งกอนท์กลับมาจากทำศึกในสเปนพระองค์ได้ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายประนีประนอมกัน
ในช่วงปี ค.ศ. 1390 เฮนรีใช้เวลามากมายไปกับการทำสงครามครูเสด โดยพระองค์ได้ร่วมกับกลุ่มอัศวินทิวทอนิกทำการปิดล้อมเมืองวิลนีอุส นครหลวงของลิทัวเนีย ในช่วงปี ค.ศ. 1392 พระองค์ได้เข้าร่วมสงครามครูเสดอีกครั้งในปรัสเซียแต่ประสบความล้มเหลว พระองค์จึงออกแสวงบุญไปเยรูซาเล็มและปฏิญาณว่าจะปลดปล่อยเมืองจากพวกนอกรีตแต่ทำไม่สำเร็จ
ในปี ค.ศ. 1394 เฮนรีประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อแมรี เดอ โบฮัน ภรรยาของพระองค์เสียชีวิตในการคลอดบุตร ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1397 เฮนรีถูกตั้งเป็นเอิร์ลแห่งเฮริฟอร์ด ทว่าต่อมาในปี ค.ศ. 1398 เฮนรีทะเลาะเบาะแว้งกับธอมัส เดอ มาวบราย ดยุคที่ 1 แห่งนอร์ฟอร์ก เปิดช่องให้พระเจ้าริชาร์ดที่ยังแค้นเฮนรีเรื่องกลุ่มขุนนางผู้อุทธรณ์ได้ข้ออ้างในการเนรเทศเฮนรีออกจากประเทศเป็นเวลา 1 ปี มาวบรายเองก็ถูกเนรเทศเช่นกัน เฮนรีได้เดินทางไปเบรอตาญและได้พบกับฌานแห่งนาวาร์ ชายาของฌ็องที่ 4 ดยุคแห่งเบรอตาญ
การขึ้นเป็นกษัตริย์
แก้ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1399 จอห์นแห่งกอนท์ พระบิดาของเฮนรีสิ้นพระชนม์อย่างกระทันหัน เฮนรีควรได้สืบทอดตำแหน่งดยุคแห่งแลงคัสเตอร์, เอิร์ลแห่งเลสเตอร์ และเอิร์ลแห่งลิงคอล์นของพระบิดา แต่พระเจ้าริชาร์ดฉวยโอกาสในตอนที่พระองค์ยังถูกเนรเทศริบดินแดนมรดกอันกว้างใหญ่ไพศาลของพระองค์และขยายเวลาการเนรเทศจาก 1 ปีเป็นตลอดชีวิต
เฮนรีได้ติดต่อธอมัส อารันเดล อดีตอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์บรีที่เสียตำแหน่งจากการเคยอยู่ฝ่ายเดียวกับกลุ่มขุนนางผู้อุทธรณ์เช่นกัน อารันเดลชี้ช่องทางให้เฮนรีเดินทางกลับอังกฤษพร้อมกองกำลังติดอาวุธในช่วงที่พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ออกไปทำศึกในไอร์แลนด์ เฮนรีได้ขึ้นฝั่งที่ราเวนสเปอร์ในมณฑลยอร์กเชอร์ในวันที่ 19 สิงหาคม เนื่องจากกษัตริย์ได้พากลุ่มอัศวินที่จงรักภักดีไปกับพระองค์ การขึ้นฝั่งของเฮนรีจึงไม่มีฝ่ายใดออกมาต่อต้าน ดยุคแห่งยอร์กผู้ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์อาณาจักรในช่วงที่กษัตริย์ไม่อยู่ได้หันมาอยู่ฝ่ายเดียวกับเฮนรี ทั้งยังมีเอิร์ลแห่งนอร์ทัมเบอร์แลนด์ให้การสนับสนุน พระองค์จึงมีอำนาจมากพอที่จะท้าชิงบัลลังก์กษัตริย์ เมื่อพระเจ้าริชาร์ดเดินทางกลับมาจากไอร์แลนด์ไม่มีใครให้การสนับสนุนกษัตริย์อีกแล้ว ในวันที่ 29 กันยายนเฮนรีได้จับกุมตัวพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 และได้จำขังพระองค์ไว้ในปราสาทพอนเตอแฟรค กษัตริย์ถูกบังคับให้สละราชสมบัติเพื่อหลีกทางให้เฮนรี รัฐสภาได้ประกาศให้เฮนรีเป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 4 ผู้ครองบัลลังก์แห่งอังกฤษและเวลส์ในวันที่ 30 กันยายน พระองค์ได้ก่อตั้งกลุ่มอัศวินบาธในวันที่ 12 ตุลาคมและได้รับการสวมมงกุฎที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ในวันที่ 13 ตุลาคม ในวันที่ 15 ตุลาคม เฮนรี พระโอรสคนโตของพระเจ้าเฮนรีถูกตั้งเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์, ดยุคแห่งคอร์นวอลล์, เอิร์ลแห่งเชสเตอร์ และเจ้าชายแห่งอากีแตน ในช่วงปี ค.ศ. 1400 เฮนรีได้ขอสมรสกับฌานแห่งนาวาร์ซึ่งพระสวามีของพระนางได้ถึงแก่กรรมไปเมื่อปี ค.ศ. 1399 พระนางยอมรับคำขอสมรสแต่ประกาศว่าจะบริหารปกครองเบรอตาญไปก่อนจนกว่าการสมรสจะเกิดขึ้น
รัชสมัยแห่งการก่อกบฏ
แก้รัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 4 เป็นรัชสมัยที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและการก่อกบฏ หลายคนมองว่าพระองค์แย่งชิงบัลลังก์มาอย่างไม่ชอบธรรม กลุ่มบุคคลสำคัญที่เคยช่วยพระองค์ปราบพระเจ้าริชาร์ดมุ่งมั่นกับการสร้างฐานอำนาจให้ตนเองมากกว่าการค้ำจุนราชบัลลังก์ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1400 กลุ่มผู้สนับสนุนอดีตกษัตริย์ได้วางแผนจับกุมตัวพระเจ้าเฮนรีที่ 4 ในงานเลี้ยงฉลองวันสมโภชพระคริสต์แสดงองค์เพื่อเอาบัลลังก์กลับคืนมาให้พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ทว่าแผนการล้มเหลว มีผู้สมคบคิดคนหนึ่งทรยศนำแผนการไปบอกแก่พระเจ้าเฮนรี แกนนำทั้งหมดถูกจับกุมตัวและถูกประหารชีวิต ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์มีการประกาศว่าพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ได้เสด็จสวรรคตแล้วที่ปราสาทพอนเตอแฟรค ภายหลังในปี ค.ศ. 1871 ดีน สแตนลีย์แห่งเวสต์มินสเตอร์ได้ทำการพิสูจน์โครงกระดูกของพระองค์และไม่พบร่องรอยของความรุนแรงจึงคาดว่าพระองค์น่าจะสวรรคตเพราะความหิว แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน
ต่อมาในวันที่ 25 กรกฎาคมพระเจ้าเฮนรีได้นำทัพขึ้นเหนือเพื่อเตรียมบุกสกอตแลนด์ กองทัพอังกฤษไปถึงสกอตแลนด์ในเดือนสิงหาคมและได้ทำการปิดล้อมปราสาทเอดินบะระแต่ประสบความล้มเหลว ในวันที่ 16 กันยายน ในเวลส์ โอไวน์ เกลินดูร์ได้ก่อกบฏต่อพระเจ้าเฮนรีด้วยการประกาศตนเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์และเข้ายึดปราสาทคอนเวย์ โดยมีพันธมิตรคือกลุ่มผู้สนับสนุนตระกูลมอร์ติเมอร์ที่มองว่าเอ็ดมันด์ มอร์ติเมอร์ ลูกหลานในสายไลโอเนลแห่งแอนท์เวิร์ป ดยุคแห่งแคลเรนซ์ (พระเชษฐาของจอห์นแห่งกอนท์ พระบิดาของพระเจ้าเฮนรีที่ 4) คือทายาทโดยชอบธรรมของพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ซึ่งควรได้เป็นกษัตริย์ตามสิทธิของบุตรหัวปี
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1401 ได้เกิดยุทธการที่เฮิดด์เกน กองทัพอังกฤษพ่ายแพ้แก่อกองทัพเวลส์บริเวณใกล้กับอาเบเริสทรุยส์ ในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1402 กองทัพอังกฤษได้ทำยุทธการที่เนสบิตมัวร์ปราบกลุ่มชาวสกอตแลนด์ที่ทำการรุกราน ในวันที่ 22 มิถุนายน กองกำลังอังกฤษพ่ายแพ้ต่อกลุ่มกบฏชาวเวลส์อีกครั้งในยุทธการที่เบรินกลาส ในวันที่ 14 กันยายนเฮนรี ฮอตสเปอร์นำกองกำลังอังกฤษปราบกลุ่มผู้รุกรานชาวสกอตแลนด์ในยุทธการที่ฮัมเบิลตันฮิลล์
ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1402 ฌานแห่งนาวาร์ คู่หมั้นของพระเจ้าเฮนรี กับธิดาของพระนางเดินทางออกจากเบรอตาญมาอังกฤษ ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1403 พระเจ้าเฮนรีกับฌานสมรสกันที่อาสนวิหารวินเชสเตอร์ แต่พระราชินีคนใหม่ไม่เป็นที่นิยมของทั้งประชาชนและชนชั้นสูง
ในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น เฮนรี เพอร์ซีหรือฮอตสเปอร์ บุตรชายของเอิร์ลแห่งนอร์ทัมเบอร์แลนด์และเขยของตระกูลมอร์ติเมอร์ประกาศตนเป็นพันธมิตรกับโอไวน์ เกลินดูร์และตระกูลมอร์ติเมอร์ในการต่อสู้กับพระเจ้าเฮนรี แต่ก่อนที่เฮนรี เพอร์ซีจะได้รวมกองทัพเข้ากับกลุ่มของตระกูลมอร์ติเมอร์ พระเจ้าเฮนรีได้นำทัพขึ้นเหนือและปราบเพอร์ซีได้ในยุทธการที่ชรูวส์บรีในวันที่ 21 กรกฎาคม เพอร์ซีถูกกองทัพของกษัตริย์สังหาร ผู้นำคนอื่นๆ ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอและถูกตัดหัวเสียบประจาน แต่พระเจ้าเฮนรีละเว้นโทษตายให้แก่เอิร์ลแห่งนอร์ทัมเบอร์แลนด์ บิดาของเพอร์ซีที่หนีไปสกอตแลนด์
ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1404 โอไวน์ เกลินดูร์ประกาศตัวเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์และร่วมเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส ในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1405 เฮนรีแห่งมอนเมาธ์ เจ้าชายแห่งเวลส์นำกองทัพอังกฤษปราบกลุ่มกบฏเวลส์ได้ที่ยุทธการที่กรอสมอนต์ (มอนเมาธ์เชอร์) กลุ่มกบฏเวลส์พ่ายแพ้ต่อกองกำลังอังกฤษอีกครั้งในยุทธการที่อัส์กในวันที่ 5 พฤษภาคม ในวันที่ 8 มิถุนายนริชาร์ด สกรอป อาร์ชบิชอปแห่งยอร์กได้ก่อกบฏต่อพระเจ้าเฮนรีที่ 4 โดยมีเฮนรี เพอร์ซี เอิร์ลแห่งนอร์ทัมเบอร์แลนด์ให้การสนับสนุน สกรอปพ่ายแพ้และถูกประหารชีวิต นอร์ทัมเบอร์แลนด์หนีไปสกอตแลนด์อีกครั้ง ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1406 พระเจ้าเฮนรีจับตัวเจมส์ ทายาทในบัลลังก์สกอตแลนด์มาอยู่ในการควบคุม เอิร์ลแห่งนอร์ทัมเบอร์รุกรานอังกฤษอีกครั้งในปี ค.ศ. 1408 โดยมีสกอตแลนด์ให้การสนับสนุน พระเจ้าเฮนรีนำทัพไปหากองกำลังดังกล่าวที่แบรมแฮมมัวร์ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์และคว้าชัยชนะได้อย่างเด็ดขาด นอร์ทัมเบอร์แลนด์ถูกสังหารในสนามรบ
บั้นปลายพระชนมาชีพ
แก้หลังทำการปิดล้อมกลุ่มกบฏชาวเวลส์ที่อาเบเริสทรุยธ์ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 1407 เฮนรี เจ้าชายแห่งเวลส์สามารถยึดอาเบเริสทรุยส์ได้ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1408 ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1409 พระองค์ยึดปราสาทฮาร์เลชในเวลส์ได้ ในปีนั้นเจ้าชายเฮนรีผู้เป็นทายาทในบัลลังก์ได้ขึ้นเป็นเสนาบดี สุขภาพของพระเจ้าเฮนรีที่ 4 เริ่มย่ำแย่ พระองค์ป่วยเป็นโรคที่ทำให้เสียโฉม (คาดว่าน่าจะเป็นโรคเรื้อน, โรคซิฟิลิส หรือไม่ก็โรคสะเก็ดเงิน) จนปลีกวิเวกจากสังคม ทั้งยังถูกรัฐสภากล่าวหาบริหารจัดการงบประมาณสำหรับการทำศึกสงครามผิดพลาดในราชสำนัก เริ่มเกิดความขัดแย้งขึ้นและธอมัส อารันเดล อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์บรีได้ขึ้นมาครองความเป็นใหญ่ในราชสำนัก กระทั่งในปี ค.ศ. 1410 ฝ่ายตรงข้ามซึ่งนำโดยเจ้าชายเฮนรีได้ขับไล่เขาลงจากอำนาจ
ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับเจ้าชายเฮนรีผู้เป็นพระราชโอรสย่ำแย่ลงเมื่อเกิดกบฏขึ้นในฝรั่งเศส กษัตริย์ต้องการผูกมิตรกับกลุ่มผู้นำกบฏ ขณะที่เจ้าชายต้องการช่วยสหายชาวบูร์กอญของพระองค์ทำสงครามกับกลุ่มกบฏ หลังมีความเห็นไม่ลงรอยกันพระเจ้าเฮนรีที่ 4 ได้ถอดเจ้าชายเฮนรีออกจากสภากษัตริย์ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1411 ต่อมาในช่วงปลายปี ค.ศ. 1412 พระเจ้าเฮนรีที่ 4 กลายเป็นผู้ไร้ความสามารถ เจ้าชายเฮนรีได้เข้ามารับช่วงต่อบริหารบ้านเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกยังคงตึงเครียดจนกระทั่งในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1413 พระเจ้าเฮนรีที่ 4 เสด็จสวรรคตด้วยพระชนมายุ 46 พรรษา ร่างของพระองค์ถูกฝังที่อาสนวิหารแคนเทอร์บรีตรงข้ามกับหลุมศพของเจ้าชายดำ เจ้าชายเฮนรี พระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 5 กษัตริย์รัชกาลต่อมา
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ Weir 2008, p. 124.
- ↑ Mortimer, I. (6 December 2006). "Henry IV's date of birth and the royal Maundy" (PDF). Historical Research. 80 (210): 567–576. doi:10.1111/j.1468-2281.2006.00403.x. ISSN 0950-3471. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 13 September 2019.
ผลงานที่อ้างถึง
แก้- Armitage-Smith, Sydney (1905). John of Gaunt. Charles Scribner's Sons. OL 32573643M.
- Bevan, Bryan (1994). Henry IV. New York: St. Martin's Press. ISBN 0312116969. OL 1237370M.
- Brown, Alfred Lawson; Summerson, H. (2010). "Henry IV [known as Henry Bolingbroke]". Oxford Dictionary of National Biography (online ed.). Oxford University Press. doi:10.1093/ref:odnb/12951. (ต้องรับบริการหรือเป็นสมาชิกหอสมุดสาธารณะสหราชอาณาจักร)
- Cokayne, George Edward; Gibbs, Vicary; Doubleday, H. A.; Warrand, Duncan; Lord Howard de Walden, บ.ก. (1926). The Complete Peerage. Vol. VI (2nd ed.). London: St Catherine Press.
- Janvrin, Isabelle; Rawlinson, Catherine (6 June 2016). The French in London: From William the Conqueror to Charles de Gaulle. แปลโดย Emily Read. Wilmington Square Books. p. 16. ISBN 978-1-908524-65-2.
- Given-Wilson, Chris (26 April 2016). Henry IV. English Monarchs series. Yale University Press. ISBN 978-0-300-15419-1.
- McNiven, Peter (1985). "The Problem of Henry IV's Health, 1405–1413". English Historical Review. 100.
- Mortimer, Ian (2007). The Fears of Henry IV: The Life of England's Self-made King. London: Jonathan Cape. ISBN 978-0-224-07300-4.
- Nickson, Charles (1887), History of Runcorn, London and Warrington: Mackie & Co., OCLC 5389146
- Panton, Kenneth J. (2011). Historical Dictionary of the British Monarchy. Scarecrow Press.
- Watson, G. W. (1896). "The Seize Quartiers of the Kings and Queens of England". ใน H. W. Forsyth Harwood (บ.ก.). The Genealogist. New Series. Vol. 12. Exeter: William Pollard & Co.
- Weir, Alison (2008). Britain's Royal Family. ISBN 9780099539735. OL 24083871M.
- Wilson, Christopher (1990). Fernie, Eric; Crossley, Paul (บ.ก.). The Tomb of Henry IV and the Holy Oil of St Thomas of Canterbury. Medieval Architecture and its Intellectual Context. London: Hambledon Press. OL 1875648M.
ก่อนหน้า | พระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 | พระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษ (ราชวงศ์แลงคาสเตอร์) สาขาหนึ่งของราชวงศ์แพลนทาเจเน็ท (ค.ศ. 1399 – ค.ศ. 1413) |
สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 5 |