จอห์นแห่งแลงแคสเตอร์ ดยุกที่ 1 แห่งเบดฟอร์ด

จอห์นแห่งแลงคาสเตอร์ ดยุคแห่งเบดฟอร์ดที่ 1 หรือ จอห์น แพลนทาเจเน็ท (อังกฤษ: 'John of Lancaster, 1st Duke of Bedford หรือ John Plantagenet') (20 มิถุนายน ค.ศ. 1389 - 14 กันยายน ค.ศ. 1435) จอห์นแห่งแลงคาสเตอร์เป็นพระราชโอรสองค์ที่สามของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษโดยแมรีแห่งโบฮุนพระชายาองค์แรก ต่อมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในฝรั่งเศสให้แก่หลานสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษผู้เป็นพระราชโอรสของพระเชษฐาสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษ จอห์นรับราชการเป็นข้าหลวงแห่งนอร์ม็องดีระหว่างปี ค.ศ. 1422 ถึงปี ค.ศ. 1432[1][2]

จอห์นแห่งแลงคาสเตอร์
ดยุคแห่งเบดฟอร์ดที่ 1
จอห์นแห่งแลงคาสเตอร์
ดยุคแห่งเบดฟอร์ดที่ 1
เกิด20 มิถุนายน ค.ศ. 1389
อสัญกรรม14 กันยายน ค.ศ. 1435 (46 ปี)
รูออง, ฝรั่งเศส
บรรดาศักดิ์ขุนนางอังกฤษและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ใน
สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษ
คู่สมรสแอนน์แห่งเบอร์กันดี
ฌาเก็ตตาแห่งลักเซมเบิร์ก
ขุนนางอังกฤษ - กษัตริย์อังกฤษ - ชาวอังกฤษ


ประวัติ

แก้
 
ภาพจอห์นแห่งแลงคัสเตอร์ ดยุคที่ 1 แห่งเบดฟอร์ดกำลังคุกเข่าสวดมนต์ต่อหน้านักบุญจอร์จ

จอห์นแห่งแลงคัสเตอร์ประสูติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1389 โดยทรงเป็นพระราชโอรสที่มีชีวิตรอดลำดับที่สามของพระเจ้าเฮนรีที่ 4 กับพระนางแมรี เดอ โบฮัน พระมเหสีคนแรก พระเจ้าเฮนรีที่ 4 พระบิดาของพระองค์เป็นบุตรชายของจอห์นแห่งกอนท์ (พระราชโอรสของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3) กับบลานช์แห่งแลงคัสเตอร์ ทายาทหญิงของเฮนรีแห่งกรอสมอนต์ ดยุคที่ 1 แห่งแลงคัสเตอร์ ขุนนางผู้ร่ำรวยและทรงอำนาจที่สุดของอังกฤษ การสมรสกับบลานช์ของจอห์นทำให้ดัชชีแลงคัสเตอร์ตกเป็นของราชวงศ์ ฝั่งแมรี แเดอ โบฮัน พระมารดาของจอห์นเป็นธิดาของฮัมฟรีย์ เดอ โบฮัน เอิร์ลที่ 7 แห่งเฮริฟอร์ดกับโจน ฟิตซ์อลัน ธิดาของริชาร์ด ฟิตซ์อลัน เอิร์ลที่ 10 แห่งอารันเดล


ในปี ค.ศ. 1394 พระมารดาของจอห์นถึงแก่กรรมขณะจอห์นมีพระชนมายุ 5 พรรษา ในปี ค.ศ. 1399 เฮนรี บอลิงบรูก พระบิดาของจอห์นได้ช่วงชิงบัลลังก์มาจากพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ลูกพี่ลูกน้องของตน พระเจ้าริชาร์ดถูกจองจำและสวรรคตอย่างเป็นปริศนาในปี ค.ศ. 1400 โดยมีเอ็ดมันด์ มอร์ติเมอร์ วัย 7 ปีเป็นทายาทโดยสันนิษฐาน เมื่อพระบิดาของจอห์นเข้ารับการสวมมงกุฎเป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 4 จอห์นน้อยได้รับแต่งตั้งเป็นอัศวินในพิธีราชาภิเษกของระราชบิดา ในปี ค.ศ. 1403 พระองค์ถูกตั้งเป็นตำรวจประจำอังกฤษและในปี ค.ศ. 1405 พระองค์ได้รับพระราชทานดินแดนที่ริบมาจากตระกูลเพอร์ซีอันทรงอำนาจ ในปี ค.ศ. 1413 พระเจ้าเฮนรีที่ 4 พระราชบิดาของจอห์นสวรรคต ผู้ที่ขึ้นมาสืบทอดเป็นกษัตริย์รัชกาลต่อมาคือพระเจ้าเฮนรีที่ 5 พระราชโอรสคนโตซึ่งเป็นพระเชษฐาของจอห์น ในปี ค.ศ. 1414 กษัตริย์ได้ตั้งจอห์น พระอนุชาของพระองค์เป็นเอิร์ลแห่งเคนดัล, เอิร์ลแห่งริชมอนด์ และดยุคแห่งเบดฟอร์ด ในช่วงปี ค.ศ. 1415 ถึง 1422 จอห์นได้ทำหน้าที่เป็นข้าหลวงแห่งราชอาณาจักรสามครั้งในช่วงที่พระเจ้าเฮนรีออกไปทำศึกในฝรั่งเศส


จอห์นอยู่กับพระเจ้าเฮนรีที่ 5 ในตอนที่พระองค์เสด็จสวรรคตด้วยโรคบิดด้วยพระชนมายุ 35 พรรษาที่แว็งซ็องในฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1422 โดยมีผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์คือพระเจ้าเฮนรีที่ 6 พระราชโอรสวัย 9 เดือน จอห์นชิงชัยกับฮัมฟรีย์ ดยุคแห่งกลอสเตอร์ พระอนุชาของพระองค์เพื่อให้ได้เป็นผู้ควบคุมดูแลราชอาณาจักรในช่วงที่พระเจ้าเฮนรีที่ 6 พระภาติยะยังอยู่ในวัยเยาว์ พินัยกรรมของพระเจ้าเฮนรีที่ 5 ประกาศให้เบดฟอร์ดเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่พระองค์ต้องทำสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ในฝรั่งเศสอย่างไม่หยุดหย่อน ฮัมฟรีย์จึงได้ทำหน้าที่เป็นเจ้าผู้อารักขา

 
ภาพอานน์แห่งบูร์กอญกำลังคุกเข่าสวดมนต์ต่อหน้านักบุญแอนน์

ในช่วงปี ค.ศ. 1422 ถึง 1432 จอห์นได้เป็นผู้ว่าการในนอร์ม็องดี พระองค์ได้สมรสกับอานน์แห่งบูร์กอญ ธิดาของฌ็องผู้ไม่กลัวใคร ดยุคแห่งบูร์กอญกับมาร์กาเร็ตแห่งไบเอิร์นในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1423 ที่ทรัวเพื่อผนึกสัมพันธไมตรีระหว่างอังกฤษกับบูร์กอญ แม้ทั้งคู่จะไม่มีบุตรด้วยกัน แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะมีชีวิตสมรสที่มีความสุข


ความเป็นขุนพลผู้ช่ำชองและผู้บริหารบ้านเมืองผู้มากความสามารถทำให้เบดฟอร์ดต่อยอดความสำเร็จของพระเจ้าเฮนรีที่ 5 พิชิตฝรั่งเศสได้อย่างต่อเนื่อง ทรงปราบฝรั่งเศสได้มากมายหลายครั้ง รวมถึงในยุทธการที่แวเนยซึ่งต่อสู้กันเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1424 แม้จะมีความสามารถด้านการทูตแต่ในเวลานั้นพระองค์ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรักษาความเป็นพันธมิตรแองโกล-บูร์กอญอันล้ำค่า ขณะเดียวกันฮัมฟรีย์ พระอนุชากับฟิลิป ดยุคแห่งบูร์กอญก็ทำตัวเป็นปรปักษ์คอยคุกคาม ในปี ค.ศ. 1426 พระองค์ถูกเรียกตัวกลับอังกฤษเพื่อมาประนีประนอมยอมความให้ฮัมฟรีย์แห่งกลอสเตอร์กับเฮนรี โบฟอร์ท เสนาบดีซึ่งเป็นพี่น้องต่างมารดาของพระราชบิดา


ในปี ค.ศ. 1427 จอห์นกลับไปฝรั่งเศส การปรากฏตัวของฌาน ดาร์กช่วยต่อลมหายใจให้ฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1429 เธอได้นำทัพฝรั่งเศสเข้าทำลายการปิดล้อมเมืองออร์เลอ็องของกองทัพอังกฤษซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม ฌานได้นำทัพเดินทางไปตามหุบเขาลัวร์และปลดปล่อยเมืองต่างๆ ที่อยู่ในการครอบครองของอังกฤษ เบดฟอร์ดส่งกำลังเสริมไปช่วยแต่พ่ายแพ้ที่ปาตาย ฌานติดตามดูแฟ็งแห่งฝรั่งเศสไปแร็งส์เพื่อเข้าพิธีราชาภิเษกเป็นพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 และเบดฟอร์ดได้ส่งจดหมายที่มีเนื้อหาเผ็ดร้อนต่อว่าทั้งพระเจ้าชาร์ลส์และฌาน โดยทรงกล่าวหาโจนว่าเป็น "สตรีตัวปัญหาที่ทำตัวเสื่อมเสีย ไร้มารยาททางสังคม แต่งตัวเป็นผู้ชาย" ซึ่ง "น่ารังเกียจในสายตาของพระเจ้า" เมื่อกองทัพที่อยู่ในปารีสของเบดฟอร์ดแข็งแรงขึ้นพระองค์ได้นำทัพเดินทางออกจากปารีส ฌานซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของฝรั่งเศสถูกกองกำลังบูร์กอญซึ่งเป็นพันธมิตรของอังกฤษจับตัวได้ อังกฤษเจรจาต่อรองจนได้ตัวเธอมาอยู่ในการดูแล ฌานถูกนำตัวขึ้นไต่สวนด้วยข้อหานอกรีตและถูกตัดสินประหารชีวิตในปี ค.ศ. 1431 โดยการเผาทั้งเป็นเนื่องจากเป็นแม่มดที่รูอ็อง จากนั้นจอห์นได้ทำการจักพิธีราชาภิเษกให้พระเจ้าเฮนรีที่ 6 ผู้เป็นพระภาติยะในปารีส


ในปี ค.ศ. 1431 อานน์ ชายาของจอห์นถึงแก่กรรมด้วยกาฬโรคในปารีส ห้าเดือนต่อมาจอห์นได้สมรสใหม่กับจาเค็ตตาแห่งลักเซ็มเบิร์ก ธิดาวัย 17 ปีของปิแอร์ที่ 1 เคานต์แห่งแซ็งต์-โปลกับมาร์เกอรีต เดอ บูซ์ (ต่อมาเธอสมรสครั้งที่สองและมีบุตรสาว คือ เอลิซาเบธ วูดวิลล์ พระราชินีคู่สมรสของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 แห่งราชวงศ์ยอร์ก) ทั้งคู่มีชีวิตสมรสที่สั้นและไร้บุตร แต่จอห์นมีธิดานอกสมรสหนึ่งคนชื่อแมรี ต่อมาเธอสมรสกับปิแอร์ เดอ มงเฟร็อง ลอร์ดแห่งเลสปาร์ซึ่งอยู่ในอาดีแตน พระองค์ยังมีบุตรชายนอกสมรสหนึ่งคนชื่อริชาร์ด ต่อมาเขาได้รับมรดกเป็นปราสาทและตำแหน่งลอร์ดแห่งเอดูพุยในฝรั่งเศส ภายหลังพระเจ้าเฮนรีที่ 6 พระภาติยะของจอห์นได้ทำให้ริชาร์ดเป็นบุตรตามกฎหมายของพระปิตุลา


การสมรสใหม่ของจอห์นถูกดยุคแห่งบูร์กอญ (พี่ชายของอานน์ ชายาคนแรก) มองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ บูร์กอญตัดสัมพันธไมตรีกับอังกฤษไปทำสนธิสัญญาสันติภาพกับฝรั่งเศส ในระหว่างนั้นจอห์นได้สิ้นพระชนม์ที่ปราสาทโฌยูซ์เรอโปในเมืองรูอ็องในวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1435 ในช่วงที่มีการประชุมสภาคองเกรสแห่งอาราส ร่างของพระองค์ถูกฝังที่อาสนวิหารรูอ็องในดัชชีนอร์ม็องดี

ดูเพิ่ม

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. "NORMANDY". Bruce R. Gordon. March 15, 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-06. สืบค้นเมื่อ 2007-04-08.
  2. "John PLANTAGENET (1º D. Bedford)". Jorge H. Castelli. สืบค้นเมื่อ 2007-04-08.

อ่านเพิ่มเติม

แก้