ลุยส์ ซัวเรซ

นักฟุตบอลชายชาวอุรุกวัย

ลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ (สเปน: Luis Alberto Suárez Díaz; เกิด 24 มกราคม ค.ศ. 1987) เป็นนักฟุตบอลชาวอุรุกวัย ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าให้แก่อินเตอร์ไมแอมี

ลุยส์ ซัวเรซ
ซัวเรซกับอัตเลติโกเดมาดริดในปี 2020
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม ลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดิอัซ[1]
วันเกิด (1987-01-24) 24 มกราคม ค.ศ. 1987 (37 ปี)[2]
สถานที่เกิด ซัลโต อุรุกวัย
ส่วนสูง 1.82 เมตร (6 ฟุต 0 นิ้ว)[1]
ตำแหน่ง กองหน้าตัวเป้า
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
อินเตอร์ไมแอมี
หมายเลข 9
สโมสรเยาวชน
2003–2005 นาซิโอนัล
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
2005–2006 นาซิโอนัล 27 (10)
2006–2007 โกรนิงเงิน 29 (10)
2007–2011 อายักซ์ 110 (81)
2011–2014 ลิเวอร์พูล 110 (69)
2014–2020 บาร์เซโลนา 191 (147)
2020–2022 อัตเลติโกเดมาดริด 67 (32)
2022–2023 นาซิโอนัล 14 (8)
2023–2024 เกรมียู 45 (24)
2024– อินเตอร์ไมแอมี 24 (17)
ทีมชาติ
2006–2007 อุรุกวัย อายุไม่เกิน 20 ปี 4 (2)
2012 อุรุกวัย อายุไม่เกิน 23 ปี 4 (3)
2007–2024 อุรุกวัย 138 (68)
เกียรติประวัติ
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 2024
‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด
ณ วันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2022 (UTC)

และทีมชาติอุรุกวัย

ซัวเรซ เกิด ณ เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย ไม่นานนักครอบครัวได้ย้ายมาตั้งรกรากที่กรุงมอนเตวิเดโอ ที่นี่เองที่เด็กชายเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูด้วยลำแข้งของมารดาเพียงลำพัง ร่วมกับพี่น้องอีก 6 คน ต่อมา ในปี ค.ศ. 2005 ซัวเรซ ได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรนาซิโอนัลในกรุงมอนเตวิเดโอ สโมสรที่ซัวเรซเล่นมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เมื่ออายุถึง 19 ปี เขาจึงย้ายสโมสรเป็นครั้งแรกไปสู่สโมสรฟุตบอลโครนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2006 และย้ายทีมอีกครั้งในปี 2007 ไปยังสโมสรชื่อดัง อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ในฤดูกาล 2008-09 ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และทำประตูเป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาลนี้ เขายังได้เป็นกัปตันของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ยิง 35 ประตู จาก 33 นัด ในลีก ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ครบ 100 ลูก ทำผลงานเทียบชั้นตำนานของสโมสร อาทิ โยฮัน ไกรฟฟ์, มาร์โก ฟัน บัสเติน และแด็นนิส แบร์คกัมป์ แต่ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซ ไปกัดที่ไหล่ของนักเตะเปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน ออตมัน บักกัล และถูกแบน 7 นัด[3] ระหว่างที่ถูกแบนในเดือนมกราคม 2011 สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลจากประเทศอังกฤษได้ซื้อตัวเขาในมูลค่า 26.5 ล้านยูโร นับแต่การมาของซัวเรซ ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับที่ 12 ของตาราง ณ กลางเดือนมกราคม 2011 ไปจบที่อันดับ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลโดยเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล[4] และในฤดูกาลต่อมา เขาก็พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 8 ไปครอง ในเดือนเมษายน 2014 เขาก็ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ประจำฤดูกาล 2013-14

ในส่วนของการรับใช้อุรุกวัย ซัวเรซได้เป็นสมาชิกของทีมชุดยู 20 เข้าร่วมแข่งบอลโลก ยู 20 ประจำปี 2007 ในปี 2007 นี้เองซัวเรซได้ลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกเจอกับ ทีมชาติโคลอมเบีย และทำประตูได้ แต่ก็โดนไล่ออกจากสนามเนื่องจากรับ 2 ใบเหลือง ในฟุตบอลโลก 2010 ซัวเรซ มีบทบาทสำคัญในทีมชุดนี้ที่ได้อันดับที่ 4 โดยทำประตูได้ 3 ลูกตลอดการแข่งขัน เขาเรียกตัวเองว่า หัตถ์พระเจ้า[5] และยังได้ฉายาว่า หม่อมกัด จากการแข่งขันรายการนี้ในนัดพบทีมชาติกานา ที่ใช้มือป้องกันประตูช่วยให้ทีมอุรุกวัยผ่านเข้ารอบต่อไป ในปี 2011 ซัวเรซนำทีมชาติอุรุกวัยได้แชมป์โกปาอาเมริกา ในการแข่งขันนี้ ซัวเรซได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และยิงไปถึง 4 ประตู

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2010 ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกสาวคนแรกที่เมืองบาร์เซโลนา ตั้งชื่อเธอว่าเดลฟินา[6]

สโมสรอาชีพ

แก้

นาซิโอนัล

แก้

ลุยส์ ซัวเรซ เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับทีมในบ้านเกิด ทีมนาซิโอนัล ทีมที่เขาเล่นในระดับเยาวชนมาตั้งแต่อายุ 14 ปี[7] คืนหนึ่งเขาถูกจับได้ว่าดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้ ผู้ฝึกสอนในขณะนั้นปรามเขาว่า เขาจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอีกถ้ายังไม่จริงจังกับการเล่นฟุตบอล[7] [8] ในเดือนพฤษภาคม 2005 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี เขาได้ลงเล่นให้สโมสรอย่างเป็นทางการโดยพบกับทีม จูเนียร์ เดอ บารานควิลลา ในการแข่งขันลิเบอร์ตาดอเรส คัพ[7] เขาทำประตูแรกได้ในเดือน กันยายน 2005[9] และช่วยนาซิโอนัลเป็นแชมป์อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06 โดยทำได้ 10 ประตู ใน 27 เกม [10]

โครนิงเงิน

แก้
 
ซัวเรซ สมัยอยู่กับ โครนิงเงิน ในปี 2006

ซัวเรซถูกจับตาจากกลุ่มแมวมองของ สโมสรฟุตบอลโครนิงเงิน ในตอนที่พวกเขาเดินทางไปประเทศอุรุกวัย เพื่อดูฟอร์มนักเตะอีกคนหนึ่ง ในเกมส์นั้น ซัวเรซ สร้างสรรค์เกม ยิงจุดโทษ และทำประตูที่สวยงาม[11] หลังเกมนั้น กลุ่มแมวมองสนใจที่จะเซ็นสัญญาซื้อ ซัวเรซ [11]หลังจบฤดูกาลนั้น สโมสรฟุตบอลโครนิงเงิน เซ็นสัญญาซื้อเขาในราคา 800,000 ยูโร[7] ซัวเรซ อยากที่จะย้ายไปเล่นที่ยุโรปเพราะว่าแฟนของเขาและภรรยาในปัจจุบัน โซเฟีย บาลบิ ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนาก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้เขาต้องรักษาความสัมพันธ์จากการต้องห่างกันเอาไว้ และนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้อยู่ใกล้แฟนสาวมากขึ้น[12]

 
ซัวเรซ กับ สโมสรฟุตบอลอาเอฟเซ อายักซ์

ในช่วงปี ค.ศ. 2007 ซัวเรซ ได้เซ็นสัญญากับ อาเอฟเซ อายักซ์ เอาไว้ 4 ปี ด้วยค่าตัว 7.5 ล้านยูโร ในฤดูกาล 2007-08 ซัวเรซ ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกและบอลถ้วยเกือบทุกนัด โดยเขาทำผลงานในฤดูกาลแรกได้ยอดเยี่ยมโดยทำไป 22 ประตูจากการเล่น 44 นัด รวมทุกรายการ ในฤดูกาล 2008-09 ซัวเรซ ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และได้เป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาล 2009-10 เขายังได้เป็นกัปตันทีมของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม แทนโตมัส เฟอร์มาเลิน ที่ย้ายไปอยู่กับอาร์เซนอล โดย ซัวเรซ ทำได้ 35 ประตู จาก 33 นัด ในลีก และพาทีมคว้าแชมป์เคเอ็นวีบี คัพ รวมทั้งได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 ซัวเรซ ยิงให้สโมสรอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ครบ 100 ลูก ในนัดที่เปิดบ้านเสมอกับ พีเอโอเค ซาโลนิกี้ 1-1 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือก และนำทีมอายักซ์ คว้าแชมป์เอเรอดีวีซี ของลีกสูงสุดในประเทศ เนเธอร์แลนด์

ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 ซัวเรซ ก็โดนแบน 7 นัด จากการที่เขาไปกัดไหล่ของ ออสมาน แบคคาล กองกลางของ เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน รวมถึงถูกต้นสังกัดสั่งลงโทษแบน 2 นัดและสั่งปรับเงินโดยที่ไม่เปิดเผยจำนวน ซัวเรซลงสนามเกมสุดท้ายให้กับ อายักซ์ ในเกมที่พบกับ เอซี มิลาน ในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ก่อนที่จะย้ายไปสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลของ พรีเมียร์ลีก ที่ประเทศอังกฤษ ในปลายฤดูกาล 2010-2011 ด้วยค่าตัว 22.8 ล้านปอนด์ (1,026 ล้านบาท) จบฤดูกาล อาเอฟเซ อายักซ์ คว้าแชมป์เอเรอดีวีซี ฤดูกาล 2010-11 ซัวเรซ ได้เหรียญรางวัลชนะเลิศ ยิงประตูในเอเรอดีวีซีได้ 7 ประตูจาก 13 นัด ผลงานตลอด 3 ปีครึ่งที่อายักซ์ของซัวเรซยอดเยี่ยมมาก เมื่อยิงประตูได้ทั้งหมด 111 ประตูจาก 159 นัด

ฤดูกาล 2010-11

แก้
 
ลุยส์ ซัวเรซ เล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ในปี ค.ศ. 2011

ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ลิเวอร์พูล ได้ซื้อกองหน้ามา 2 คนคือ แอนดี แคร์โรล และ ลุยส์ ซัวเรซ เข้ามาในถิ่นแอนฟีลด์ และได้เซ็นสัญญาให้กับ ลิเวอร์พูล ถึงปี 2016 โดย ซัวเรซ ได้มีโอกาสลงเล่นตัวจริงค่อนข้างมากถึงแม้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูกาล 2010-11 แล้วก็ตาม เคนนี ดัลกลิช ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลได้เห็นความสามารถและความพิเศษของเขาคนนี้ ดัลกลิชเลยให้เขาสวมเสื้อเบอร์ 7 โดยได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ ซัวเรซ เป็นตำนานของลิเวอร์พูลต่อจากเขาต่อไป นัดแรกที่ ซัวเรซ ได้เล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกและเล่นในถิ่นแอนฟีลด์คือการเจอกับ สโตกซิตี โดยซัวเรซทำไป 1 ประตู และทำให้ลิเวอร์พูลชนะไป 2-0 โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองและก็ประเดิมประตูแรกของตัวเองในสีเสื้อลิเวอร์พูล ได้ทันที เรียกว่าเป็นการลดความกดดันทั้งในเรื่องค่าตัวและเบอร์เสื้ออย่างสิ้นเชิง[13] ต่อมา ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2011 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์ต้อนรับการมาเยือนของคู่อริ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในศึกแดงเดือด ซัวเรซสร้างความปั่นป่วนแนวรับปีศาจแดงตลอดทั้งเกมจนทำให้ เดิร์ค เคาท์ ปีกขวาทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ที่แม้จะทำแฮตทริกได้ในเกมนั้นชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 3-1 ยังต้องหลบซีนตำแหน่ง นักเตะยอดเยี่ยมประจำเกมให้กับเขาเลยทีเดียว ต่อมา ในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ ที่สเตเดียมออฟไลต์ 2-0 ต่อมา ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 3-0 ต่อมา ในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฟูลัม ที่เครเวนคอตทิจ 5-2 ทำให้ ซัวเรซ ทำสถิติตลอดระยะเวลา 5 เดือนแรกกับหงส์แดงด้วยการทำไป 4 ประตูจาก 13 นัด และก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจของสาวกเดอะ ค็อปได้อย่างเต็มตัว รวมถึงบรรดาเพื่อนร่วมทีมที่เรียงหน้าออกมาชมไม่ขาดสาย และช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2010-11 ซัวเรซ ก็กลายเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล

ฤดูกาล 2011-12

แก้
 
ซัวเรซ และแอนดี แคร์โรล ในปี 2012

ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011–12 ลิเวอร์พูล ลงเล่นนัดแรกที่แอนฟีลด์เจอกับ ซันเดอร์แลนด์ โดย ซัวเรซ ยิงจุดโทษพลาดในช่วงต้นเกม แต่เขาก็ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1[14] ต่อมา ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ลิเวอร์พูลเอาชนะ อาร์เซนอล ที่เอมิเรตส์สเตเดียม 2-0[15] ต่อมา ในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2011 ลีกคัพ รอบ 2 ซัวเรซ ก็ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอ็กซิเตอร์ซิตี ที่เซนต์เจมส์พาร์ก 3-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 3 ลีกคัพ ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ วุลเวอร์แฮมป์ตันวันเดอเรอส์ 2-1 ต่อมา ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง ที่กูดิสันพาร์ก 2-0 ต่อมา ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2011 ลีกคัพ รอบ 4 ซัวเรซ ก็ทำ 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี ที่บริแทนเนียสเตเดียม 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 5 ลีกคัพ ได้สำเร็จ[16] ต่อมา ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ 1-0 หลังจากนั้น ซัวเรซ ก็โดนแบน 8 นัด และถูกปรับเงิน 40,000 ปอนด์ (1.8 ล้านบาท) จากการเหยียดผิว ปาทริส เอวรา แบ็กซ้ายของ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ซัวเรซ ก็ถูกแบน 1 นัดจากการไปแสดงสัญลักษณ์หยาบคายใส่แฟนบอล ฟูลัม

 
ซัวเรซ ดวลกับ ซิลแว็ง ดิสแต็ง กองหลังของ เอฟเวอร์ตัน ในศึก เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี ในเดือนมีนาคม 2012

ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ซัวเรซ ได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง หลังจากพ้นโทษแบน 8 นัด ในนัดที่ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 0-0 ต่อมา ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ทำศึกแดงเดือด บุกไปเยือนที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ก่อนเริ่มการแข่งขัน ซัวเรซ ไม่ยอมจับมือกับ ปาทริส เอวรา เนื่องจากคดีเหยียดผิว ทำให้ ซัวเรซ โดนแบน 8 นัด ในนัดนี้ ซัวเรซ ก็ทำประตูตีไข่แตกให้ ลิเวอร์พูล ไล่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มาเป็น 1-2 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-2 ต่อมา ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 เอฟเอคัพ รอบ 5 ซัวเรซ ทำประตูปิดท้ายให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ Brighton & Hove Albion 6-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 6 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ ซัวเรซ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 8 มาครอง จากการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ผลประตูรวม 3-2 และเป็นแชมป์แรกของ ซัวเรซ นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล[17] ต่อมา ในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ทำศึกเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง ถึงแม้ว่า ซัวเรซ จะไม่ได้ทำประตูแต่ก็จ่ายบอลให้กัปตันทีม สตีเวน เจอร์ราร์ด ทำแฮตทริก ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-0[18] ต่อมา ในวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2012 เอฟเอคัพ รอบ 6 ซัวเรซ ก็ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สโตกซิตี 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2012 ซัวเรซ ก็ยิงประตูตีเสมอ วีแกนแอธเลติก 1-1 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-2 ต่อมา ในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 2012 ซัวเรซ ก็ยิงประตูตีเสมอ แอสตันวิลลา 1-1 ในช่วงท้าย ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 2012 เอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ โดยครึ่งแรก เอฟเวอร์ตัน ขึ้นนำก่อน 1-0 แต่ในครึ่งหลัง ซัวเรซ ก็ทำประตูตีเสมอ 1-1 ก่อนที่ แอนดี แคร์โรล จะโหม่งทำประตูชัยในนาที 87 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-1 และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2012 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกครั้งแรกของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เอาชนะ นอริชซิตี ที่แคร์โรว์โรด 3-0

ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 เอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ เชลซี ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป 1-2 ทำให้ ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์เอฟเอคัพ อย่างน่าเสียดาย ต่อมา ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ลงเล่นที่แอนฟิลด์นัดสุดท้ายเจอกับ เชลซี อีกครั้ง ในพรีเมียร์ลีก สุดท้าย ซัวเรซ ก็พา ลิเวอร์พูล ล้างแค้น เชลซี ได้สำเร็จ 4-1[19] จบฤดูกาล ซัวเรซ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 11 ประตูจาก 31 นัด โดย ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ลีกคัพ แต่จบอันดับที่ 8 ซึ่งเป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี สุดท้าย เคนนี ดัลกลิช ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ต่อมา ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2012 ทางสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง เบรนดัน ร็อดเจอส์ อดีตผู้จัดการทีมสวอนซีซิตี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ต่อมา ในวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ลุยส์ ซัวเรซ ได้ตัดสินใจต่อสัญญากับ ลิเวอร์พูล เป็นที่เรียบร้อย เป็นที่คาดการณ์กันว่าจะช่วยการันตีให้เขาค้าแข้งอยู่ที่แอนฟิลด์ต่อไปอย่างน้อย ๆ 3 ปี โดยรับค่าเหนื่อยเทียบเท่า สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ 120,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

ฤดูกาล 2012-13

แก้

ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2012–13 วันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับแชมป์เก่า แมนเชสเตอร์ซิตี โดย ซัวเรซ ได้ยิงฟรีคิกให้ลิเวอร์พูลออกนำ 2-1 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 2-2 ต่อมา ในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2012–13 รอบเพลย์ออฟ ซัวเรซ ได้ยิงประตูตีเสมอ ฮาร์ทส 1-1 ในช่วงท้าย ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 แต่ประตูของ ซัวเรซ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่ม ด้วยสกอร์รวม 2-1 ต่อมา ในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2012 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ ซันเดอร์แลนด์ ที่สเตเดียมออฟไลต์ 1-1 ต่อมา ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟิลด์เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ก่อนเริ่มการแข่งขัน ซัวเรซ ได้ยอมจับมือกับ ปาทริส เอวรา หลังจากที่ ซัวเรซ ไม่ยอมจับมือกับ เอวรา เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี โดย สตีเวน เจอร์ราร์ด ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน 1-0 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-2 ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2012 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริก ที่ 2 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่ลิเวอร์พูลเอาชนะ นอริชซิตี ที่แคร์โรว์โรด 5-2 โดย ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริก ใส่ นอริชซิตี ที่สนามแคร์โรว์โรด เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากที่ทำได้ในช่วงปลายฤดูกาลที่แล้ว และเป็นชัยชนะนัดแรกของ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก อีกด้วย[20]

 
ลุยส์ ซัวเรซ ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ อาร์เซนอล ในปี ค.ศ. 2013

ในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2012 ยูฟ่ายูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่ม ซัวเรซ ได้ยิงฟรีคิกให้ ลิเวอร์พูล ไล่ อูดิเนเซ มาเป็น 2-3 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 2-3 ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ทำศึกเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี บุกไปเยือนที่ กูดิสันพาร์ก เจอกับ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง โดย ซัวเรซ ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 2-0 ก่อนจะถูก เอฟเวอร์ตัน ยิงตีเสมอเป็น 2-2 และในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซัวเรซ ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 3-2 แต่ผู้ตัดสินกลับยกธงล้ำหน้า โดยที่ ซัวเรซ ไม่ได้อยูในตำแหน่งล้ำหน้า ทำให้จบด้วยผลเสมอกัน 2-2 ต่อมา ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2012 ลีกคัพ รอบ 4 ซัวเรซ ก็ทำประตูตีไข่แตกให้ ลิเวอร์พูล ไล่ สวอนซีซิตี มาเป็น 1-2 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-3 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบ ลีกคัพ ไปในที่สุด ต่อมา ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด โดย ยออาน กาบาย ยิงประตูให้ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ขึ้นนำก่อน 1-0 แต่ ซัวเรซ ก็ทำประตูตีเสมอ 1-1 ในช่วงครึ่งหลัง ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ เจอกับ เชลซี โดย จอห์น เทอร์รี ยิงประตูให้ เชลซี ขึ้นนำก่อน 1-0 แต่ ซัวเรซ ก็ทำประตูตีเสมอ 1-1 ในช่วงครึ่งหลัง ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ วีแกนแอธเลติก โดย ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 2-0 ก่อนจะชนะไป 3-0 ทำให้ ซัวเรซ เป็นคนแรกที่ยิงครบ 10 ประตู ในพรีเมียร์ลีก[21] ต่อมา ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 11 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ฟูลัม 4-0[22] ต่อมา ในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2012 นัดสุดท้ายของปี 2012 ซัวเรซ ก็ทำ 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ ที่ลอฟตัสโรด 3-0

 
ซัวเรซ ยิงฟรีคิกให้ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ เซนิตเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก

ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2013 นัดแรกของปี 2013 ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 3-0 ต่อมา ในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2013 เอฟเอคัพ รอบ 3 ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ฟิลด์มิลล์ เจอกับ แมนฟิลด์ ทาวน์ โดย ซัวเรซ เป็นตัวสำรอง ก่อนจะถูกส่งลงสนาม ในนาทีที่ 55 และ ซัวเรซ ก็ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ออกนำ 2-0 แต่ ซัวเรซ ใช้มือขวาตบบอลไว้หนึ่งจังหวะก่อนตามเข้าไปยิงง่าย ๆ ทั้งที่น่าจะเป็นจังหวะแฮนด์บอลไปแล้ว แต่ผู้ตัดสินกลับให้เป็นประตู ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะชนะไป 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 4 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ทำประตูที่ 16 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอริชซิตี 5-0 ทำให้ ซัวเรซ ยิงครบ 20 ประตู รวมทุกรายการ ต่อมา ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2013 เอฟเอคัพ รอบ 4 ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่บูนดารี ปาร์ค เจอกับ โอลดัมแอทเลติก โดย ซัวเรซ ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ลิเวอร์พูล ครั้งแรกแทน สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่เป็นตัวสำรอง และ ซัวเรซ ก็ทำประตูตีเสมอ 1-1 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป 2-3 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบ เอฟเอคัพ ไปในที่สุด ต่อมา ในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ทำประตูที่ 17 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ อาร์เซนอล ที่เอมิเรตส์สเตเดียม 2-2 ต่อมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ทำประตูที่ 18 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เปิดบ้านเอาชนะ สวอนซีซิตี 5-0[23] ต่อมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 ยูฟ่ายูโรปาลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ เซนิตเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก จากรัสเซีย โดยนัดแรก ลิเวอร์พูล ไปพ่ายแพ้ที่รัสเซีย 0-2 ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ 3-0 ถึงจะผ่านเข้ารอบต่อไป โดย ซัวเรซ ได้ยิงฟรีคิก 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซนิตเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก 3-1 สกอร์รวมเสมอกัน 3-3 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องกระเด็นตกรอบด้วยกฎประตูทีมเยือน ต่อมา ในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 3 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เอาชนะ วีแกนแอธเลติก ที่ดีดับเบิลยูสเตเดียม 4-0[24] ทำให้ ซัวเรซ เป็นคนแรกที่ยิงครบ 20 ประตู ในพรีเมียร์ลีก[25] และเป็นนักเตะคนที่ 3 ของ ลิเวอร์พูล ที่ยิงประตูครบ 20 ประตู ในฤดูกาลเดียว ต่อจาก ร็อบบี ฟาวเลอร์ และ เฟร์นันโด ตอร์เรส ต่อมา ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2013 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ โดย ซัวเรซ ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน 1-0 และในช่วงท้าย ซัวเรซ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้ลูกจุดโทษ ก่อนที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด จะยิงจุดโทษ เป็นประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 3-2

ในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2013 ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์เจอกับ เชลซี โดยในครึ่งหลัง ซัวเรซ ทำแฮนด์บอลและเสียจุดโทษ ก่อนที่ เอแดน อาซาร์ จะยิงจุดโทษให้ เชลซี ขึ้นนำ 2-1 แต่สุดท้าย ซัวเรซ ก็ทำประตูตีเสมอ 2-2 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้าย ช่วยให้ ลิเวอร์พูล รอดตายหวุดหวิด ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 2-2 แต่มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซ ไปกัดที่แขนของ บรานิสลาฟ อีวานอวิช โชคดีที่ ซัวเรซ รอดพ้นจากการโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม แต่หลังจากนั้น ซัวเรซ ก็ไม่รอดหลังจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) เปิดฉากสอบสวนก่อนจะสั่งลงโทษแบนยาวถึง 10 นัด ทำให้ ซัวเรซ หมดสิทธิ์ลงสนามใน 4 นัดที่เหลือ รวมถึงไม่สามารถลงสนาม 6 นัดแรกในฤดูกาลหน้าได้ จบฤดูกาล ซัวเรซ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 23 ประตู จาก 33 นัด รวมทุกรายการ ยิงได้ทั้งหมด 30 ประตู จาก 44 นัด ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนที่ 12 ของ ลิเวอร์พูล ที่ยิงประตูครบ 30 ประตู รวมทุกรายการ ในฤดูกาลเดียว ต่อจาก เฟร์นันโด ตอร์เรส ที่ทำได้ในฤดูกาล 2007-08 ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ ซัวเรซ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2012-13 ไปครอง ต่อมา ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 ลุยส์ ซัวเรซ ได้ออกมาบอกว่าต้องการย้ายออกจากถิ่นแอนฟีลด์ เนื่องจากไม่มีความสุขการค้าแข้งในอังกฤษ และต้องการลงเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2013–14 โดยที่มี อาร์เซนอล และ เรอัลมาดริด สนใจดึงตัวเขาไปร่วมทีม ต่อมา ในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2013 จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ เจ้าของสโมสรลิเวอร์พูล ได้ออกมายืนยันว่า ซัวเรซ ไม่ได้มีไว้ขายและจะอยู่กับทีมต่อไป หลังจากนั้น ซัวเรซ ถูกทางสโมสรจับแยกซ้อมเดี่ยว แต่สุดท้าย ซัวเรซ ได้กลับมาซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมอีกครั้ง หลังจากได้ขอโทษสโมสรและเพื่อนร่วมทีม สุดท้าย ซัวเรซ ได้ตัดสินใจอยู่กับ ลิเวอร์พูล ต่อไป

ฤดูกาล 2013-14

แก้

ลุยส์ ซัวเรซ โดนแบน 6 นัดแรก จากกรณีกัดแขน อีวานอวิช เมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ต่อมา ในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง หลังจากพ้นโทษแบน 10 นัด ในนัดที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ในลีกคัพ รอบ 3 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป 0-1 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบ ลีกคัพ ไปในที่สุด ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกนัดแรก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่สเตเดียมออฟไลต์ เจอกับ ซันเดอร์แลนด์ โดย ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 3-1[26] ต่อมาในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ คริสตัลพาเลซ 3-1 ต่อมาในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในนัดที่เสมอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์ก 2-2[27] [28] ต่อมา ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 4 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 4-1[29] ต่อมา ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ฟูลัม 4-0[30] ต่อมา ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสันพาร์ก 3-3

ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 5 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล โดย ซัวเรซ ได้ยิง 4 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอริชซิตี 5-1 ทำให้ ซัวเรซ สร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล ที่ทำแฮตทริกใส่คู่ต่อสู้ทีมเดียวกันได้ถึงสามครั้ง[31] ต่อมา ในวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 4-1[32] [33] ต่อมา ในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ลิเวอร์พูล แทน สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ไม่ได้ลงสนามและได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ไวต์ฮาร์ตเลน 5-0[34] [35] ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาพันธ์ผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอล หรือ FSF Award โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่เอมิเรตส์ สเตเดียม สนามของอาร์เซนอล ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้รับการต่อสัญญาจากสโมสรออกไปอีก จนถึง ปี 2018 และรับค่าเหนื่อยเพิ่มเป็น 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่รับค่าเหนื่อยมากที่สุดของประวัติศาสตร์ของสโมสร[36] ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี 3-1[37] [38] ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้ 10 ประตูในเดือนเดียว ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ ซัวเรซ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนธันวาคม ของ พรีเมียร์ลีก โดยยิงได้ 10 ประตูจาก 7 นัด[39]

ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2014 นัดแรกของปี 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 20 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ฮัลล์ซิตี 2-0[40] ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะลิเวอร์พูลคนแรกที่ยิงประตูครบ 20 ประตูสองฤดูกาลติดต่อกัน ต่อจาก ร็อบบี ฟาวเลอร์ ที่ทำได้ในฤดูกาล 1994-95 และ 1995-96[41] ต่อมา ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี ที่บริแทนเนียสเตเดียม 5-3[42] [43] ต่อมา ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 23 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0[44] [45]

ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในพรีเมียร์ลีก และทำประตูที่ 24 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 3-0[46] [47] ต่อมา ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 25 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด 3-0[48] [49] ต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 6 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล โดย ซัวเรซ ได้ยิง 3 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่คาร์ดิฟฟ์ซิตีสเตเดียม 6-3[50] [51] ต่อมา ในวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 29 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 4-0[52] [53] ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ ซัวเรซ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนมีนาคม ของ พรีเมียร์ลีก ร่วมกับ สตีเวน เจอร์ราร์ด[54] ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 30 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นอริชซิตี ที่แคร์โรว์โรด 3-2[55] ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล ที่ยิงประตูครบ 30 ประตู ในฤดูกาลเดียว ต่อจาก เอียน รัช ที่ทำได้ในปี 1987 และเป็นนักเตะคนที่ 7 ที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกครบ 30 ประตู ในฤดูกาลเดียว

ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซ คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ประจำฤดูกาล 2013-14 ส่งผลให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะจากทวีปอเมริกาใต้คนแรกที่ได้รางวัลนี้ไปครอง และเป็นนักเตะคนที่ 6 ของ ลิเวอร์พูล ที่ได้รับรางวัลนี้[56] รวมทั้ง ซัวเรซ ยังได้ติดทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ร่วมกับ สตีเวน เจอร์ราร์ด และ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ 2 นักเตะของลิเวอร์พูล อีกด้วย ต่อมา ซัวเรซ ได้คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (เอฟดับเบิ้ลยูเอ) ไปอีกหนึ่งรางวัล ต่อมา ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่เซลเฮิสต์พาร์ก เจอกับ คริสตัลพาเลซ ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก กับ แมนเชสเตอร์ซิตี โดย ซัวเรซ ได้ยิงประตูให้ ลิเวอร์พูล ออกนำ 3-0 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล โดนตีเสมอในช่วงท้าย ทำให้จบด้วยผลเสมอกัน 3-3 หลังจบเกม ซัวเรซ ก้มหน้าร่ำไห้ด้วยความผิดหวัง ทำให้ โอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล เหลือน้อยมาก ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ คว้าสามรางวัลของสโมสรลิเวอร์พูล ได้แก่ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูล, รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของแฟนๆ และ รางวัลประตูยอดเยี่ยมแห่งปี จากลูกวอลเลย์ระยะ 40 หลา ในเกมกับ นอริชซิตี เมื่อเดือนธันวาคม จากงานประกาศรางวัล Players’ Awards Dinner ปี 2014 โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่ ศูนย์ประชุม Liverpool ACC Conference Centre[57] ต่อมา ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด เป็นนัดตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ซิตี ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด และต้องลุ้นให้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย[58] จบฤดูกาล ซัวเรซ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 31 ประตู จาก 33 นัด[59] ทำให้ ซัวเรซ คว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก และ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2013-14 ไปครอง[60] และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009[61] รวมทั้ง ซัวเรซ ได้รางวัลรองเท้าทองคำของยุโรป ร่วมกับ คริสเตียโน โรนัลโด นักเตะของ เรอัลมาดริด ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนที่ 2 ของลิเวอร์พูล ที่ได้รางวัลนี้ต่อจาก เอียน รัช ในฤดูกาล 1983-84[62]

บาร์เซโลนา

แก้

ฤดูกาล 2014-15

แก้
 
ซัวเรซ ลงเล่นให้กับบาร์เซโลนา ในปี 2014

ในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 บาร์เซโลนา ได้เซ็นสัญญาคว้าตัว ลุยส์ ซัวเรซ เป็นเวลา 5 ปี ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ ต่อมา ในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ลงสนามนัดแรกให้กับ บาร์เซโลนา หลังจากพ้นโทษแบน 4 เดือน ซัวเรซ ได้ลงสนามเป็นตัวจริงคู่กับ เลียวเนล เมสซี และ เนย์มาร์ ในนาม 3 ประสาน MSN ในนัดที่เจอกับ เรอัลมาดริด ในศึก เอลกลาซีโก ที่สนามซานเตียโก เบร์นาเบว โดย ซัวเรซ ได้จ่ายบอลให้ เนย์มาร์ ทำประตูขึ้นนำ 1-0 ในช่วง 4 นาทีแรก ก่อนที่ ซัวเรซ จะถูกเปลี่ยนตัวในครึ่งหลัง แต่สุดท้าย บาร์เซโลนา ก็แพ้ไป 1-3 ต่อมา ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15 ซัวเรซ ได้ประเดิมประตูแรกให้กับ บาร์เซโลนา ในนาทีที่ 27 ในนัดที่เอาชนะ อาโปเอล จากไซปรัส 4-0 ต่อมา ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 2 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง จากฝรั่งเศส 3-1 ต่อมา ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูแรกในลาลิกา ให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ กอร์โดบา 5-0

ในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซได้ทำประตูแรกในโกปาเดลเรย์ให้กับบาร์เซโลนาในนัดที่บาร์เซโลนาเปิดสนามกัมนอว์เอาชนะเอลเช 5-0 ต่อมา 11 มกราคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ, เมสซี และ เนย์มาร์ ได้ทำคนละประตูในนัดที่บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะแชมป์เก่า อัตเลติโกเดมาดริด 3-1 ต่อมา ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 3 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ ที่ซานมาเมส 5-2 ต่อมา ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 4 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เลบันเต 5-0 ต่อมา ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรก ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม 2-1 ต่อมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 5 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ กรานาดา ที่เอสตาดีโอ นวยโบ โลส การ์เมเนส 3-1 ต่อมา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2015 โกปาเดลเรย์ รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 2 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ บิยาร์เรอัล ที่เอสตาดีโอ เอล มาดรีกัล 3-1 ประตูรวม บาร์เซโลนา เอาชนะ บิยาร์เรอัล 6-2 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศของโกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ ราโยบาเยกาโน 6-1 ต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2015 บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เจอกับ เรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล ในศึกเอลกลาซีโก โดย ซัวเรซ ได้ทำประตูชัยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลมาดริด 2-1 ต่อมา ในวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัลเมริอา 4-0

ในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดแรก ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่ปาร์กเดแพร็งส์ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 11 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเลนเซีย 2-0 ต่อมา ในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เฆตาเฟ 6-0 ต่อมา ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซได้ทำแฮตทริกครั้งแรกของเขาให้กับบาร์เซโลนา ในนัดที่บาร์เซโลนาเอาชนะกอร์โดบา 8-0 ต่อมา ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2015 บาร์เซโลนา เจอกับ ยูเวนตุส ที่สนามโอลึมเพียชตาดิโยน ในเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ซัวเรซ ทำประตูที่ 7 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ช่วยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ ยูเวนตุส 3-1 คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 5 มาครอง พาทีมคว้าทริปเปิลแชมป์ได้สำเร็จ จบฤดูกาล 3 ประสาน MSN (เมสซี่, ซัวเรซ และ เนย์มาร์) ยิงประตูรวมทั้งหมด 122 ประตู ทำลายสถิติ 118 ประตูของ เรอัลมาดริด (คริสเตียโน โรนัลโด, กอนซาโล อีกวาอิน และ การีม แบนเซมา ในฤดูกาล 2011-12)

ฤดูกาล 2015-16

แก้
 
ซัวเรซ ลงซ้อมให้กับ บาร์เซโลนา ในยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2015

ในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 2015 ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2015 บาร์เซโลนา แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15 เจอกับ เซบิยา แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2014–15 ซัวเรซลงเล่นนัดแรกในฤดูกาล 2015-16 โดยทำประตูช่วยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ เซบิยา ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 5-4 คว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ สมัยที่ 5 มาครอง ต่อมา ในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ มีชื่อ 1 ใน 3 คนสุดท้ายเข้าชิงรางวัล 2015 UEFA Best Player in Europe Award

ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2015 ลาลิกา นัดเปิดฤดูกาล 2015–16 ซัวเรซทำประตูชัยช่วยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ ที่ซานมาเมส 1-0 ต่อมา ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2015–16 รอบแบ่งกลุ่ม ซัวเรซทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เสมอกับ โรมา ที่สตาดีโอโอลิมปีโก 1-1 ต่อมา ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ ลัสปัลมัส 2-1 ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 2 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ ไบเออร์เลเวอร์คูเซ่น 2-1 ต่อมา ในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 4 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ ราโยบาเยกาโน 5-2 ต่อมา ในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 2 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เอย์บาร์ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 8 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เฆตาเฟ 2-0 ต่อมา ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 3 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเต บอรีซอฟ 3-0 ต่อมา ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 9 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บิยาร์เรอัล 3-0 ต่อมา ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล ที่ซานเตียโก เบร์นาเบว 4-0

ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2015–16 รอบแบ่งกลุ่ม ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ โรมา 6-1 ต่อมา ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 12 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เรอัลโซเซียดัด 4-0 ต่อมา ในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 13 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เสมอกับ บาเลนเซีย ที่เมสตายา 1-1 ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2015 รอบรองชนะเลิศ ซัวเรซ ทำแฮตทริกให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ กว่างโจวเอเวอร์แกรนด์ จากจีน 3-0 ทำให้ ซัวเรซ สร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักเตะคนแรกที่ทำแฮตทริกได้ในฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ต่อมา ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2015 รอบชิงชนะเลิศ บาร์เซโลนา เจอกับ ริเวอร์เพลต จากอาร์เจนตินา ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ ริเวอร์เพลต 3-0 คว้าแชมป์สโมสรโลก สมัยที่ 3 มาครอง จบทัวร์นาเมนต์ ซัวเรซ ยิงประตูในฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 5 ประตู รับตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดประจำทัวร์นาเมนต์และคว้าผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ ต่อมา ในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เรอัลเบติส 4-0

ในวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 4 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ 6-0 ต่อมา ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2016 โกปาเดลเรย์ รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่สอง ซัวเรซ ทำประตูแรกในโกปาเดลเรย์ ฤดูกาล 2015–16 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ 3-1 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ 5-2 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำประตูที่ 19 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัตเลติโกเดมาดริด 2-1 ต่อมา ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 โกปาเดลเรย์ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 5 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย ซัวเรซ ยิง 4 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเลนเซีย 7-0 ต่อมา ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำประตูที่ 20 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เลบันเต 2-0 ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 6 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เซลตาเดบีโก 6-1 ต่อมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำประตูที่ 24 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ สปอร์ติงเดคีคอน 3-1 ต่อมา ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำประตูที่ 25 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ ลัสปัลมัส 2-1 ต่อมา ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำประตูที่ 26 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เอย์บาร์ 4-0 ต่อมา ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่สอง ซัวเรซ ทำประตูที่ 6 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อาร์เซนอล 3-1 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ อาร์เซนอล 5-1 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 2016 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดแรก ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัตเลติโกเดมาดริด 2-1 ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 7 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย ซัวเรซ ยิง 4 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เดปอร์ติโบเดลาโกรุญญา 8-0 ต่อมา ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 8 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย ซัวเรซ ยิง 4 ประตูเป็นนัดที่สองติดต่อกัน ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ สปอร์ติงเดคีคอน 6-0 ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนแรกที่ยิง 4 ประตู 2 นัดติดต่อกัน รวมถึง ซัวเรซ ยิงครบ 50 ประตูรวมทุกรายการในฤดูกาลเดียว ต่อมา ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำประตูที่ 35 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลเบติส 2-0 ต่อมา ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัสปัญญ็อล 5-0

ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ลาลิกา นัดปิดฤดูกาล บาร์เซโลนา เจอกับ กรานาดา เป็นนัดตัดสินแชมป์ลาลิการะหว่าง บาร์เซโลนา กับ เรอัลมาดริด ในนัดนี้ บาร์เซโลนา จะต้องชนะ กรานาดา บาร์เซโลนา ก็จะได้แชมป์ลาลิกา ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 9 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย บาร์เซโลนา เอาชนะ กรานาดา 3-0 ช่วยให้ บาร์เซโลนา คว้าแชมป์ลาลิกามาครอง จบฤดูกาล ซัวเรซ ยิงประตูในลาลิกาได้ 40 ประตู ทำให้ ซัวเรซ กลายเป็นนักเตะคนแรกในรอบ 7 ปีที่เบียดเอาชนะ คริสเตียโน โรนัลโด และ เลียวเนล เมสซี คว้ารางวัล "ปิชีชี่" หรือดาวซัลโวสูงสุดของลีกสเปนไปครอง

ฤดูกาล 2016-17

แก้

ในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2016 ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา 2016 นัดแรก ซัวเรซทำประตูแรกในฤดูกาล 2016-17 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เซบิยา ที่เอสตาดิโอ รามอน ซานเชซ ปิซฆวน 2-0 ต่อมา ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2016 ลาลิกา นัดเปิดฤดูกาล 2016–17 ซัวเรซทำแฮตทริกที่ 10 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เรอัลเบติส 6-2 ต่อมา ในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2016 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2016–17 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม C ซัวเรซยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เซลติก จากสกอตแลนด์ 7-0 ต่อมา ในวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 4 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เลกาเนส 5-1 ต่อมา ในวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 5 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ สปอร์ติงเดคีคอน 5-0 ต่อมา ในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 6 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เดปอร์ติโบเดลาโกรุญญา 4-0 ต่อมา ในวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 7 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ บาเลนเซีย ที่เมสตายา 3-2 ต่อมา ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 8 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เซบิยา ที่เอสตาดิโอ รามอน ซานเชซ ปิซฆวน 2-1 ต่อมา ในวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 9 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เสมอกับ เรอัลมาดริด 1-1 ต่อมา ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 10 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ โอซาซูนา 3-0 ต่อมา ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัสปัญญ็อล 4-1

ในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2017 โกปาเดลเรย์ รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่สอง ซัวเรซทำประตูแรกในโกปาเดลเรย์ ฤดูกาล 2016–17 และเป็นประตูที่ 100 ให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ 3-1 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ 4-3 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ ลัสปัลมัส 5-0 ต่อมา ในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 15 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เออิบาร์ 4-0 ต่อมา ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 2017 โกปาเดลเรย์ รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่สอง ซัวเรซทำประตูที่ 2 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เรอัลโซเซียดัด 5-2 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลโซเซียดัด 6-2 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 16 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เสมอกับ เรอัลเบติส 1-1 ต่อมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2017 โกปาเดลเรย์ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ซัวเรซทำประตูที่ 3 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติโกเดมาดริด ที่สนามกีฬาบีเซนเตกัลเดรอน 2-1

ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2017 โกปาเดลเรย์ รอบรองชนะเลิศ นัดที่สอง ซัวเรซทำประตูที่ 4 ในโกปาเดลเรย์และโดนใบแดงไล่ออกจากสนามเป็นครั้งแรกกับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เสมอกับ อัตเลติโกเดมาดริด 1-1 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติโกเดมาดริด 3-2 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ทำให้ ซัวเรซจะพลาดลงเล่นรอบชิงชนะเลิศ ต่อมา ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 ซัวเรซยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ เดปอร์ติโบอาลาเบส 6-0 ต่อมา ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ สปอร์ติงเดคีคอน 6-1 ต่อมา ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่สอง บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เจอกับ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง โดยนัดแรก บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ที่ฝรั่งเศส 0-4 ในนัดนี้ บาร์เซโลนา จะต้องชนะ 5-0 ถึงจะผ่านเข้ารอบต่อไป โดย ซัวเรซ ยิงประตูให้ บาร์เซโลนา ขึ้นนำ 1-0 ก่อนจะเอาชนะไป 6-1 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง 6-5 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 21 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ เดปอร์ติโบเดลาโกรุญญา 1-2 ต่อมา ในวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 22 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเลนเซีย 4-2 ต่อมา ในวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 23 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ กรานาดา 4-1 ต่อมา ในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 24 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เซบิยา 3-0 ต่อมา ในวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 2017 ซัวเรซยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ อัสปัญญ็อล 3-0 ต่อมา ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 27 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บิยาร์เรอัล 4-1 ต่อมา ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 28 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ ลัสปัลมัส 4-1 ต่อมา ในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 ลาลิกา นัดปิดฤดูกาล 2016–17 บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เจอกับ เออิบาร์ เป็นนัดตัดสินแชมป์ลาลิการะหว่าง บาร์เซโลนา กับ เรอัลมาดริด ในนัดนี้ บาร์เซโลนา จะต้องชนะ เออิบาร์ และต้องลุ้นให้ มาลากา เอาชนะ เรอัลมาดริด บาร์เซโลนา ก็จะได้แชมป์ลาลิกา ซัวเรซทำประตูที่ 29 ในลาลิกา บาร์เซโลนา เอาชนะ เออิบาร์ 4-2 แต่สุดท้าย เรอัลมาดริด เอาชนะ มาลากา 2-0 ทำให้ บาร์เซโลนาพลาดโอกาสคว้าแชมป์ลาลิกา อย่างน่าเสียดาย[63]

ฤดูกาล 2017-18

แก้

ในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูแรกในลาลิกา ฤดูกาล 2017–18 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัสปัญญ็อล 5-0 ต่อมา ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 2 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ คิโรนา 3-0 ต่อมา ในวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 3 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เสมอกับ อัตเลติโกเดมาดริด ที่เอสตาดีโอเมโตรโปลีตาโน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 ซัวเรซยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เลกาเนส 3-0 ต่อมา ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 6 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เสมอกับ เซลตาเดบีโก 2-2 ต่อมา ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 7 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ บิยาร์เรอัล ที่เอสตาดีโอ เอล มาดรีกัล 2-0 ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เดปอร์ติโบเดลาโกรุญญา 4-0 ต่อมา ในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 10 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล ที่ซานเตียโก เบร์นาเบว 3-0 ต่อมา ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 11 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เลบันเต 3-0 ต่อมา ในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2018 โกปาเดลเรย์ รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่สอง ซัวเรซทำประตูแรกในโกปาเดลเรย์ ฤดูกาล 2017–18 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เซลตาเดบีโก 5-0 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ เซลตาเดบีโก 6-1 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลโซเซียดัด 4-2 ต่อมา ในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 100 ในลาลิกา หลังจากยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลเบติส 5-0 ต่อมา ในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2018 โกปาเดลเรย์ รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่สอง ซัวเรซทำประตูที่ 2 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัสปัญญ็อล รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ อัสปัญญ็อล 2-1 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 16 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เดปอร์ติโบอาลาเบส 2-1 ต่อมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 โกปาเดลเรย์ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ซัวเรซทำประตูที่ 3 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเลนเซีย 1-0 ต่อมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 17 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เอย์บาร์ 2-0 ต่อมา ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำแฮตทริกที่ 11 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ คิโรนา 6-1 ต่อมา ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 21 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ มาลากา 2-0 ต่อมา ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 22 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เสมอกับ เซบิยา ที่เอสตาดิโอ รามอน ซานเชซ ปิซฆวน 2-2 ต่อมา ในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดแรก ซัวเรซทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ โรมา 4-1 ต่อมา ในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 23 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเลนเซีย 2-1 ต่อมา ในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2018 โกปาเดลเรย์ รอบชิงชนะเลิศ 2018 ซัวเรซยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เซบิยา ที่เอสตาดีโอเมโตรโปลีตาโน 5-0 คว้าแชมป์โกปาเดลเรย์ สมัยที่ 30 มาครองได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 24 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เสมอกับ เรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล 2-2 ต่อมา ในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 25 ในลาลิกา ด้วยลูกจุดโทษ ในนัดที่ บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ เลบันเต 4-5

ฤดูกาล 2018-19

แก้

ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 2018 ซัวเรซยิง 2 ประตูแรกในลาลิกา ฤดูกาล 2018–19 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อูเอสก้า 8-2 ต่อมา ในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 3 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลโซเซียดัด 2-1 ต่อมา ในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 4 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เซบิยา 4-2 ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำแฮตทริกที่ 12 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล 5-1

ทีมชาติอุรุกวัย

แก้

ฟุตบอลโลก 2010

แก้

ทีมชาติอุรุกวัยได้เรียกตัว ลุยส์ ซัวเรซ ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ถือเป็นทัวนาเม้นท์แจ้งเกิดให้กับ ซัวเรซ อย่างแท้จริง โดยเขาจับคู่กับ ดิเอโก้ ฟอร์ลัน สร้างความปั่นป่วนให้กับทีมคู่แข่ง เป็นอย่างมาก ด้วยการทำไป 3 ประตูจาก 6 นัดและช่วยให้อุรุกวัยผ่านเข้าไปถึง รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายอุรุกวัยก็จอดแค่รอบนั้น โดยซัวเรซ ไม่ได้ลงสนามเพราะต้องชดใช้โทษแบนพอดี

ไฮไลท์สำคัญในฟุตบอลโลกที่แฟน ๆ จดจำได้เป็นอย่างดีคือ "แฮนด์ ออฟ ก็อด" ในเกมกับ กาน่า รอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อเขาใช้มือปัดลูกบอล ที่กำลังจะลอย เข้าประตูในนาทีสุดท้ายของช่วงต่อเวลาพิเศษ ขณะที่อุรุกวัยยังเสมอกับ กาน่า อยู่ ทำให้เขาโดนใบแดงไล่ออกจากสนามทันที แต่ช้อตต่อจากนั้น กียาน อซาโมอาห์ ของกาน่า ยิงจุดโทษพลาดทำให้เกมจบลงด้วยการเสมอ และ ไปดวลจุดโทษ ตัดสินปรากฏว่า อุรุกวัย แม่นโทษกว่าเอาชนะไปได้ ทำให้ชื่อของ ซัวเรซ ยิ่งถูก โจษจันมากขึ้นในแง่มุมอื่นนอกจากการสังหารประตู ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่าเขาทำไป โดยสัญชาติญาณ และ ถ้าเลือกได้เขาก็จะยอมเสียสละตัวเองเพื่อทำแบบเดิมอีก เพราะถือเป็นการช่วยอุรุกวัยไม่ให้ต้องตกรอบ

โกปาอาเมริกา 2011

แก้
 
ซัวเรซ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของ โกปาอาเมริกา 2011

ซัวเรซถูกเรียกติดทีมชาติอุรุกวัยชุดลุยศึกโกปาอาเมริกา 2011 ที่อาร์เจนตินา โดย อุรุกวัย ได้อยู่กลุ่มซี ร่วมกับ เปรู, ชิลี และ เม็กซิโก โดย ซัวเรซ ได้ทำประตูแรก ในนัดที่ อุรุกวัย เสมอกับ เปรู 1-1 และช่วยให้ทีมได้อันดับ 2 ของกลุ่มซี พาทีมชาติอุรุกวัยเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับเจ้าภาพ อาร์เจนตินา สุดท้าย อุรุกวัย เอาชนะ อาร์เจนตินา ด้วยการดวลจุดโทษ 5-4 หลังจากเสมอกัน 1-1 ในช่วง 90 นาที และต่อเวลาพิเศษ ต่อมา ในรอบรองชนะเลิศ ซัวเรซ ได้ทำ 2 ประตู ในนัดที่ อุรุกวัย เอาชนะ เปรู 2-0 พาทีมชาติอุรุกวัยเข้ารอบชิงชนะเลิศเจอกับ ปารากวัย โดย ซัวเรซ ยิงประตูให้อุรุกวัยออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนที่ อุรุกวัย จะชนะไป 3-0 ซัวเรซ ช่วยให้ อุรุกวัย คว้าแชมป์โกปาอาเมริกา สมัยที่ 15 มาครอง และคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของโกปาอาเมริกา

ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013

แก้

ฟุตบอลโลก 2014

แก้

ในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้มีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าด้านซ้าย ทำให้ ซัวเรซ ต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน และอาจทำให้เขาหมดสิทธิ์ไปเล่นฟุตบอลโลก ต่อมา ทีมชาติอุรุกวัยได้เรียกตัว ลุยส์ ซัวเรซ ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล แม้จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ก็ตาม ต่อมา ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้เป็นตัวสำรองแต่ไม่ได้ลงสนาม ในนัดที่ อุรุกวัย พ่ายแพ้ต่อ คอสตาริกา 1-3 ในรอบแรกนัดที่สาม ที่อุรุกวัยพบกับอิตาลี ลุยส์ ซัวเรซ สร้างเรื่องฮือฮาขึ้นมาเมื่อเป็นฝ่ายไปกัดไหล่ของ จอร์โจ กีเอลลีนี กองหลังของอิตาลี ซึ่งสถานการณ์บังคับให้อุรุกวัยต้องชนะอิตาลีให้ได้เท่านั้น จึงจะผ่านเข้ารอบไปได้ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกรรมการจะไม่เห็น แต่ทว่าสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า ก็มีบทลงโทษย้อนหลัง โดยให้ซัวเรซต้องงดเล่นให้กับทีมชาติเป็นเวลานานถึง 9 นัด และยังห้ามเล่นในระดับสโมสรอีก 4 เดือน และยังสั่งปรับซัวเรซอีกเป็นจำนวนเงิน 3.6 ล้านบาท[64]

ซึ่งก่อนหน้านั้นซัวเรซเองก็มีพฤติกรรมเช่นนี้มาแล้วเมื่อครั้งยังเล่นอยู่ในเอเรอดีวีซีหรือลีกของเนเธอร์แลนด์ กอปรกับฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ ในรอบสี่ทีมสุดท้าย ซัวเรซก็เป็นฝ่ายใช้มือปัดลูกฟุตบอลที่กำลังจะเข้าประตูของทีมกานา ทำให้อุรุกวัยเสียจุดโทษ แต่ทว่าฝ่ายกานายิงไม่เข้า[65]

ฟุตบอลโลก 2018

แก้

สถิติอาชีพ

แก้

สโมสร

แก้
ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2018.[66][67]
สโมสร ฤดูกาล ลีก ฟุตบอลถ้วย ลีกคัพ ยุโรป อื่น ๆ รวม
ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู
นาซิโอนัล[10][68][b] 2005–06 27 10 3[a] 0 4[b] 2 34 12
รวม 27 10 3 0 4 2 34 12
โครนิงเงิน[b] 2006–07 29 10 2 1 2[c] 1 4[d] 3 37 15
รวม 29 10 2 1 0 0 2 1 4 3 37 15
อาเอฟเซ อายักซ์[b] 2007–08 33 17 3 2 4[e] 1 4[d] 2 42 22
2008–09 31 22 2 1 10[c] 5 43 28
2009–10 33 35 6 8 9[f] 6 48 49
2010–11 13 7 1 1 9[g] 4 1[h] 0 24 12
รวม 110 81 12 12 0 0 32 16 5 2 159 111
ลิเวอร์พูล[b] 2010–11 13 4 0 0 0 0 0 0 13 4
2011–12 31 11 4 3 4 3 39 17
2012–13 33 23 2 2 1 1 8[f] 4 44 30
2013–14 33 31 3 0 1 0 37 31
รวม 110 69 9 5 6 4 8 4 0 0 133 82
บาร์เซโลนา 2014–15 27 16 6 2 10[g] 7 43 25
2015–16 35 40 4 5 9[g] 8 5[i] 6 53 59
2016–17 35 29 6 4 9[g] 3 1[j] 1 51 37
2017–18 33 25 6 5 10[g] 1 2[j] 0 51 31
2018–19 11 9 0 0 3 1 1[j] 0 15 10
รวม 141 119 22 16 41 19 9 7 213 162
รวมทั้งหมด 417 289 45 34 6 4 86 40 22 14 576 382
  1. All appearances in Copa Libertadores
  2. Two appearances and Two goals in Primera playoffs
  3. 3.0 3.1 All appearances in UEFA Cup
  4. 4.0 4.1 all appearances in the Eredivisie playoffs
  5. Two appearances and one goal in UEFA Champions League, two appearances UEFA Cup
  6. 6.0 6.1 All appearances in Europa League
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 All appearances in UEFA Champions League
  8. Appearance in 2010 Johan Cruijff Schaal
  9. One appearance and one goal in UEFA Super Cup, two appearances in Supercopa de España, two appearances and five goals in FIFA Club World Cup
  10. 10.0 10.1 10.2 Appearances in Supercopa de España

ทีมชาติ

แก้
ทีมชาติอุรุกวัย
ปี ลงเล่น ประตู
2007 6 2
2008 10 4
2009 12 3
2010 11 7
2011 13 10
2012 8 4
2013 16 9
2014 6 5
2016 8 3
2017 5 2
2018 8 4
รวม 103 53

ประตูในนามทีมชาติ

แก้
ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2017[10][69]
ประตูในนามทีมชาติ
Goal วันที่ สนาม คู่แข่งขัน ประตู ผล การแข่งขัน
1. 13 ตุลาคม 2007 Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay   โบลิเวีย
1–0
5–0
ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก
2. 18 พฤศจิกายน 2007   ชิลี
1–0
2–2
3. 6 กุมภาพันธ์ 2008   โคลอมเบีย
2–2
2–2
เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร
4. 25 พฤษภาคม 2008 Ruhrstadion, Bochum, Germany   ตุรกี
1–0
3–2
5.
2–2
6. 28 พฤษภาคม 2008 Ullevaal Stadion, Oslo, Norway   นอร์เวย์
1–1
2–2
7. 10 มิถุนายน 2009 Polideportivo Cachamay, Puerto Ordaz, Venezuela   เวเนซุเอลา
1–1
2–2
ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก
8. 9 กันยายน 2009 Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay   โคลอมเบีย
1–0
3–1
9. 10 ตุลาคม 2009 Estadio Olímpico Atahualpa, Quito, Ecuador   เอกวาดอร์
1–1
2–1
10. 3 มีนาคม 2010 AFG Arena, St. Gallen, Switzerland   สวิตเซอร์แลนด์
2–1
3–1
เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร
11. 22 มิถุนายน 2010 Royal Bafokeng Stadium, Rustenburg, South Africa   เม็กซิโก
1–0
1–0
ฟุตบอลโลก 2010
12. 26 มิถุนายน 2010 Nelson Mandela Bay Stadium, Port Elizabeth, แอฟริกาใต้   เกาหลีใต้
1–0
2–1
13.
2–1
14. 8 ตุลาคม 2010 Gelora Bung Karno Stadium, Jakarta, Indonesia   อินโดนีเซีย
2–1
7–1
เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร
15.
3–1
16.
5–1
17. 8 มิถุนายน 2011 Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay   เนเธอร์แลนด์
1–0
1–1
18. 4 กรกฎาคม 2011 Estadio del Bicentenario, San Juan, Argentina   เปรู
1–1
1–1
โกปาอาเมริกา 2011
19. 19 กรกฎาคม 2011 Estadio Ciudad de La Plata, La Plata, Argentina   เปรู
1–0
2–0
20.
2–0
21. 24 กรกฎาคม 2011 Estadio Monumental, Buenos Aires, Argentina   ปารากวัย
1–0
3–0
22. 7 ตุลาคม 2011 Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay   โบลิเวีย
1–0
4–2
ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก
23. 11 พฤศจิกายน 2011   ชิลี
1–0
4–0
24.
2–0
25.
3–0
26.
4–0
27. 25 พฤษภาคม 2012 Lokomotiv Stadium, Moscow, Russia   รัสเซีย
1–0
1–1
เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร
28. 10 มิถุนายน 2012 Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay   เปรู
1–0[70]
4–2
ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก
29. 16 ตุลาคม 2012 Estadio Hernando Siles, La Paz, Bolivia   โบลิเวีย
1–4
1–4
ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก
30. 14 พฤศจิกายน 2012 PGE Arena Gdańsk, Gdańsk, Poland   โปแลนด์
3–1
3–1
เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร
31. 22 มีนาคม 2013 Estadio Centenario, Montevideo, อุรุกวัย   ปารากวัย
1–0
1–1
ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก
32. 5 มิถุนายน 2013   ฝรั่งเศส
1–0
1–0
เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร
33. 16 มิถุนายน 2013 Arena Pernambuco, Recife, Brazil   สเปน
1–2
1–2
ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013
34. 23 มิถุนายน 2013   ตาฮีตี
7–0
8–0
35.
8–0
36. 14 สิงหาคม 2013 Miyagi Stadium, Rifu, Japan   ญี่ปุ่น
3–0
4–2
เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร
37. 6 กันยายน 2013 Estadio Nacional, Lima, Peru   เปรู
1–0
2–1
ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก
38.
2–0
39. 15 ตุลาคม 2013 Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay   อาร์เจนตินา
2–1
3–2
40. 19 มิถุนายน 2014 Arena Corinthians, São Paulo, Brazil   อังกฤษ
1–0
2–1
ฟุตบอลโลก 2014
41.
2–1
42. 13 ตุลาคม 2014 Al-Buraimi Stadium, Al-Buraimi, Oman   โอมาน
1–0
3–0
เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร
43.
2–0
44. 13 พฤศจิกายน 2014 Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay   คอสตาริกา
1–1
3–3
เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร
45. 25 มีนาคม 2016 Arena Pernambuco, Recife, Brazil   บราซิล
2–2
2–2
ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก
46. 6 กันยายน 2016 Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay   ปารากวัย
3–0
4–0
47. 11 ตุลาคม 2016 Estadio Metropolitano Roberto Meléndez, Barranquilla, Colombia   โคลอมเบีย
2–1
2–2
48. 10 ตุลาคม 2017 Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay   โบลิเวีย
3–1
4–2
49.
4–1
50. 23 March 2018 Guangxi Sports Center, Nanning, China   เช็กเกีย
1–0
2–0
2018 China Cup
51. 7 June 2018 Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay   อุซเบกิสถาน
2–0
3–0
Friendly
52. 20 June 2018 Rostov Arena, Rostov-on-Don, Russia   ซาอุดีอาระเบีย
1–0
1–0
2018 FIFA World Cup
53. 25 June 2018 Cosmos Arena, Samara, Russia   รัสเซีย
1–0
3–0

เกียรติประวัติ

แก้

ระดับสโมสร

แก้
นาซิโอนัล
อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม
  • เอเรอดีวีซี: 2010–11
  • เคเอ็นวีบี คัพ: 2009–10
ลิเวอร์พูล
บาร์เซโลนา
อัตเลติโกมาดริด

ระดับชาติ

แก้
ฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย

รางวัลส่วนตัว

แก้
  • IFFHS World's Best Top Division Goalscorer: 2010, 2014, 2016
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ: 2013–14
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ: 2013–14
  • รองเท้าทองคำของยุโรป: 2013–14, 2015–16
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก: 2013–14
  • นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาพันธ์ผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอล: 2013–14
  • La Liga World Player of the Year: 2015–16
  • ผู้เล่นแห่งปีของเอเรอดีวีซี: 2009–10
  • ESM Team of the Year: 2013–14, 2014–15, 2015–16
  • ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ: 2012–13, 2013–14
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก: ธันวาคม 2013, มีนาคม 2014
  • รองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก: 2013–14
  • Premier League Golden Boot Landmark Award 10: 2012–13
  • Premier League Golden Boot Landmark Award 20: 2012–13, 2013–14
  • Premier League Golden Boot Landmark Award 30: 2013–14
  • Copa del Rey top goalscorer: 2015–16
  • รองเท้าทองคำของเอเรอดีวีซี: 2009–10[71]
  • เคเอ็นวีบี คัพดาวยิงสูงสุด: 2009–10
  • ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก (CONMEBOL): Top Goalscorer (11 ประตู)
  • โกปาอาเมริกา ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน: 2011
  • ผู้เล่นแห่งปีของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม: 2008–09, 2009–10
  • ผู้ทำประตูสูงสุดของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม: 2008–09[72], 2009–10[73]
  • Liverpool FC Player of the Year: 2012–13, 2013–14
  • ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล: 2011–12, 2012–13, 2013–14
  • La Liga Pichichi Trophy: 2015–16
  • La Liga World Player of the Year: 2015–16
  • La Liga top assist provider: 2015–16, 2016–17
  • Barcelona Player of the Season (Trofeo Aldo Rovira): 2015–16
  • Trofeo EFE Player of the Year: 2014–15[74]
  • UEFA Best Player in Europe Award: 2014, (8th place), 2015, (2nd place) 2016 (4th place)
  • UEFA Champions League Team of the Season: 2014–15, 2015–16
  • FIFA Ballon d'Or: 6th place 2011, 5th place 2015
  • FIFA Club World Cup Golden Ball: 2015
  • FIFA Club World Cup Most Valuable Player of the Final: 2015
  • FIFA FIFPro World XI: 2016
  • นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูล: 2013–14
  • นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลจากสมาคมกองเชียร์ผู้พิการ: 2012–13[75]
  • FTBpro PFA Fan Player of the Season: 2013–14
  • ประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของลิเวอร์พูล (2): (2012–13: เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2012), (2013–14: ประตูที่ 1 เจอกับ นอริชซิตี ในวันที่ 4 ธันวาคม 2013)
  • Standard Chartered Liverpool Player of the Month (14): มีนาคม 2011, พฤษภาคม 2011, สิงหาคม 2011, กันยายน 2011, ตุลาคม 2011, เมษายน 2012, กันยายน 2012, ตุลาคม 2012, ธันวาคม 2012, กุมภาพันธ์ 2013, ตุลาคม 2013[76], พฤศจิกายน 2013, ธันวาคม 2013, มกราคม 2014
  • ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนของอีเอ สปอตส์ (2): พฤศจิกายน 2013, ธันวาคม 2013

อ้างอิง

แก้
  1. 1.0 1.1 "FIFA Club World Cup Japan 2015: List of Players: FC Barcelona" (PDF). 11 December 2015. p. 3. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 11 December 2015. สืบค้นเมื่อ 11 December 2015.
  2. "Luis Suárez: Overview". ESPN. สืบค้นเมื่อ 30 May 2020.
  3. http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/football/europe/9225097.stm เว็บไซต์ BBC
  4. http://soccernet.espn.go.com/news/story/_/id/969372/kenny-dalglish:-luis-suarez-set-to-star-for-liverpool?cc=4716 เก็บถาวร 2011-10-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์ ESPN
  5. http://www.guardian.co.uk/football/2010/jul/03/world-cup-2010-hand-god-suarez ลุยส์ ซัวเรซ ให้สัมภาษณ์สื่อ
  6. "Suarez in Barcelona vader geworden van dochter" (ภาษาดัตช์). Voetbal International. 2010-08-05. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-12. สืบค้นเมื่อ 2010-08-06.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 http://www.liverpoolecho.co.uk/liverpool-fc/lfc-player-profiles/luis-suarez/2011/02/09/luis-suarez-s-rise-from-the-streets-of-montevideo-to-liverpool-fc-hero-part-one-100252-28138725/2/
  8. Ben Lyttleton (4 July 2010). "In Suarez's absence Uruguay will lean even more heavily on Forlan". Sports Illustrated. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-11-04. สืบค้นเมื่อ 21 August 2011.
  9. Luis Suarez. "Biography - My History". Media Base Sports. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-06. สืบค้นเมื่อ 21 August 2011.
  10. 10.0 10.1 10.2 "Football: Luis Suárez". FootballDatabase.eu. สืบค้นเมื่อ 31 January 2011.
  11. 11.0 11.1 Matt Lawton (24 March 2011). "Luis Suarez - I want to be known for great goals not biting or that handball". Daily Mail. สืบค้นเมื่อ 21 August 2011.
  12. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-06. สืบค้นเมื่อ 2011-10-22.
  13. Mandeep Sanghera (2 February 2011). "Liverpool 2–0 Stoke". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2 February 2011.
  14. Smith, Rory (13 August 2011). "Liverpool 1 Sunderland 1". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 16 August 2011.
  15. Phil McNulty (20 August 2011). "Arsenal 0–2 Liverpool". BBC. BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 12 December 2011.
  16. Sam Sheringham (26 October 2011). "Stoke 1–2 Liverpool". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 12 December 2011.
  17. "Cardiff 2–2 Liverpool (Liverpool win 3–2 on penalties" BBC Sport. 26 February 2012. Retrieved 26 February 2012.
  18. "Liverpool 3–0 Everton" BBC Sport. 13 March 2012. Retrieved 16 June 2012.
  19. "Liverpool 4–1 Chelsea" BBC Sport. 8 May 2012. Retrieved 8 May 2012.
  20. "Norwich 2 - 5 Liverpool". BBC Sport. BBC. 29 September 2012. สืบค้นเมื่อ 29 September 2012.
  21. ซัวเรซยิ้มร่ารับรางวัลซัด 10 ตุงคนแรกประจำซีซั่น
  22. "Liverpool 4–0 Fulham" BBC Sport. 22 December 2012. Retrieved 22 December 2012.
  23. "Liverpool 5-0 Swansea" BBC Sport. 17 February 2013. Retrieved 17 February 2013.
  24. "Wigan 0-4 Liverpool" BBC Sport. 2 March 2013. Retrieved 3 March 2013.
  25. ซัวเรซซิวรองเท้าทองคำหลังซัดครบ 20 ตุง
  26. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลเยือนซันเดอร์แลนด์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-02. สืบค้นเมื่อ 2015-04-07.
  27. "เจอร์ราร์ด และสเตอร์ริดจ์ ช่วยให้ลิเวอร์พูลเก็บหนึ่งแต้ม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-07.
  28. "ค็อป 10 นักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดหลังผ่าน 100 นัด". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-15.
  29. "ซัวเรซกดแฮตทริกในชัยชนะเหนือเวสต์บรอมฯ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-03-17.
  30. "ซัวเรซยิงเบิ้ลให้ลิเวอร์พูลถล่มฟูแล่ม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  31. "ชมวิดีโอไฮไลต์ความยาว 11 นาที นัดลิเวอร์พูลเอาชนะนอริช 5-1". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-09. สืบค้นเมื่อ 2014-11-09.
  32. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบเวสต์แฮม ยูไนเต็ด". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-10. สืบค้นเมื่อ 2015-03-16.
  33. "ประตูท้ายเกมของซัวเรซช่วยลิเวอร์พูลคว้าชัยเหนือเวสต์แฮม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-13. สืบค้นเมื่อ 2015-03-16.
  34. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบสเปอร์ส". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-19. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  35. "ลิเวอร์พูลยกพลคว้าชัยถึงถิ่นสเปอร์สในเกมระดับห้าดาว". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  36. "ซัวเรซจรดปากกาเซ็นสัญญาระยะยาว". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-23. สืบค้นเมื่อ 2015-03-16.
  37. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-24. สืบค้นเมื่อ 2015-03-16.
  38. "ความยอดเยี่ยมของซัวเรซส่งลิเวอร์พูลสู่ตำแหน่งจ่าฝูง". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-03-16.
  39. "ซัวเรซคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนธันวาคม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-13.
  40. "แอ็กเกอร์ และซัวเรซ ช่วยให้ลิเวอร์พูลเริ่มต้นปีใหม่ด้วยชัยชนะ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-11-12.
  41. "20 ประตูของลุยส์ ซัวเรซ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-15.
  42. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบสโต๊ก ซิตี้". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-16. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  43. "ปฏิบัติการ SAS ช่วยเก็บชัยชนะถึงถิ่นสโต๊ก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-15. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  44. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบเอฟเวอร์ตัน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  45. "ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเอาชนะเอฟเวอร์ตันสุดประทับใจ 4-0". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-03. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  46. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลเยือนเซาท์แฮมป์ตัน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-06. สืบค้นเมื่อ 2015-06-18.
  47. "ลิเวอร์พูลเอาชนะเซาท์แฮมป์ตันขยับขึ้นอันดับ 2". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-06-18.
  48. "ประมวลภาพการฉลองประตูของลุยส์ ซัวเรซ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  49. "ประตูของเจอร์ราร์ดและซัวเรซทำให้โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเงียบงัน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-21. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  50. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลเยือนคาร์ดิฟฟ์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-26. สืบค้นเมื่อ 2015-03-16.
  51. "แฮตทริกของซัวเรซช่วยให้ลิเวอร์พูลบุกชนะคาร์ดิฟฟ์ 6-3". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-26. สืบค้นเมื่อ 2015-03-16.
  52. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบสเปอร์ส". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-04-02. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  53. "ลิเวอร์พูลถล่มสเปอร์ส 4-0 พร้อมขึ้นนำเป็นจ่าฝูง". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  54. "ลิเวอร์พูลกวาดรางวัลยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก ประจำเดือนมีนาคม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-04-14. สืบค้นเมื่อ 2014-05-24.
  55. "ลิเวอร์พูลเบียดชนะนอริชขึ้นนำจ่าฝูง 5 แต้มเต็ม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-06-21.
  56. "6 นักเตะลิเวอร์พูลที่คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-05-03. สืบค้นเมื่อ 2014-05-22.
  57. "ซัวเรซกวาด 3 รางวัล ในงานประกาศรางวัลสโมสรลิเวอร์พูล". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-05-23.
  58. "ลิเวอร์พูลต่อสู้กลับมาเป็นผู้ชนะและคว้าตำแหน่งรองแชมป์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-11-12.
  59. "10 สถิติอันน่าทึ่งของซัวเรซ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-04. สืบค้นเมื่อ 2014-05-26.
  60. "ซัวเรซเหมาอีกสองรางวัลจากพรีเมียร์ลีก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-05-21.
  61. "45 สถิติจากฤดูกาลที่น่าจดจำ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-05-20.
  62. "ซัวเรซคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของยุโรปร่วม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-05-30.
  63. ได้แค่รองแชมป์! บาร์ซาเฮไม่สุดแม้รัวเออิบาร์ 4-2
  64. "'ฟีฟ่า' แบน 'ซัวเรซ' 9 นัด-ห้ามข้องเกี่ยวฟุตบอล 4 เดือน". ไทยรัฐ. 26 June 2014. สืบค้นเมื่อ 27 June 2014.
  65. "ย้อนรอย 9 วีรกรรม (ฉาว) 'ลุยส์ ซัวเรซ' เทพบุตรซาตาน แห่งแอนฟิลด์". ไทยรัฐ. 9 January 2013. สืบค้นเมื่อ 27 June 2014.
  66. "Luis Suarez career stats". Soccer base. Retrieved 19 July 2014
  67. ข้อมูลของ ลุยส์ ซัวเรซ ที่ ซ็อกเกอร์เวย์. เรียกข้อมูลเมื่อ 12 February 2015.
  68. "Luis Suárez Statistics". Voetbal International. สืบค้นเมื่อ 13 April 2010.
  69. "Luis Suárez Statistics". Transfermarkt. สืบค้นเมื่อ 13 April 2010.
  70. URU 4–2 PER (FIFA.com)
  71. "Football - Competition: Eredivisie 2009/2010 - Rankings - Scorers". FootballDatabase.eu. สืบค้นเมื่อ 25 August 2011.
  72. "Football: club - Ajax Amsterdam 2008/2009". FootballDatabase.eu. สืบค้นเมื่อ 25 August 2011.
  73. "Football: club - Ajax Amsterdam 2009/2010". FootballDatabase.eu. สืบค้นเมื่อ 25 August 2011.
  74. "Luis Suárez, el tapado de la final". marca.com. สืบค้นเมื่อ 23 July 2015.
  75. "Suarez honoured with LDSA award". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-07-24. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
  76. "ซัวเรซ รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนตุลาคม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-03-14.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้
ก่อนหน้า ลุยส์ ซัวเรซ ถัดไป
โตมัส เฟอร์มาเลิน   กัปตันทีมสโมสรอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม
(2009–2011)
  มาร์เติน สเตเกอเลินบืร์ค