ริเวอร์ ฟินิกซ์

(เปลี่ยนทางจาก River Phoenix)

ริเวอร์ จูด ฟินิกซ์ (เดิม: บอททอม)(อังกฤษ: River Jude Phoenix) เกิดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1970 เป็นนักแสดง นักดนตรี และนักกิจกรรมชาวอเมริกัน เติบโตในครอบครัวซึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของบุปผาชนในช่วงทศวรรษ 60 เป็นพี่ชายคนโตของ เรน วาคีน ลิเบอร์ตี และซัมเมอร์ ฟินิกซ์ ริเวอร์ไม่เคยได้รับการศึกษาอย่างถูกต้องตามแบบแผน แต่มีพรสวรรค์ในด้านดนตรีคือกีตาร์และการร้องเพลง เขาเริ่มทำงานในวงการเมื่ออายุ 10 ปี[1]ผ่านงานโฆษณาทางโทรทัศน์ในช่วงแรก หลังจากนั้นจึงได้แสดงในภาพยนตร์ Explorers (1985) ภาพยนตร์แนวผจญภัยและวิทยาศาสตร์ และได้รับบทที่เป็นที่จดจำเรื่องแรกในชีวิตการแสดงคือ Stand by Me ภาพยนตร์แนว coming-of-age ในปี 1986 สร้างจากนวนิยาย The Body โดยนักเขียนชื่อดังระดับโลก Stephen King ริเวอร์ได้รับบทบาทสมทบซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ใน Running on Empty (1988) โดยแสดงเป็นแดนนี โป๊ป (Danny Pope) บุตรชายของผู้ลี้ภัยทางกฎหมาย ซึ่งได้รับเสียงวิจารณ์ในทางที่ดีและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์และรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมด้วยอายุเพียง 18 ปี ซึ่งถือว่าเป็นนักแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขานี้ที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นลำดับที่ 6 ในขณะนั้น และในปี 1991 ริเวอร์ได้รับบทนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง My Own Private Idaho ในบท ไมค์ วอเตอร์ส (Michael Waters) ชายหนุ่มขายบริการทางเพศซึ่งออกเดินทางตามหาแม่ผู้ให้กำเนิดของตนเอง โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมอย่างล้นหลามและทำให้ริเวอร์ได้รับรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส Venice Film Festival และสมาคมนักวิจารณ์ National Society of Film Critics

ริเวอร์ ฟินิกซ์
River Phoenix
ฟินิกซ์ในงาน 61th Academy Award ปี 1989
สารนิเทศภูมิหลัง
เกิด23 สิงหาคม ค.ศ. 1970(1970-08-23)
ริเวอร์ จูด บอททอม (ริโอ)
มาดราส รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา
เสียชีวิต31 ตุลาคม ค.ศ. 1993(1993-10-31) (23 ปี)
เดอะ ไวเปอร์ รูม, เวสต์ ฮอลลีวูด
ลอส แอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
บิดาจอห์น ลี ฟินิกซ์ (บอททอม)
มารดาอาร์ลิน ฟินิกซ์
อาชีพนักแสดง, นักดนตรี, นักกิจกรรม
ลูกโลกทองคำรางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยม (nominee)
Running on Empty (1988 film)
ฐานข้อมูล
IMDb

ฟินิกซ์เสียชีวิตจากการได้รับสารเสพติด[2]เกินขนาดที่เวสต์ ฮอลลีวูด ในเวลาหลังเที่ยงคืนของเช้าวันใหม่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1993 ไม่นานด้วยอายุ 23 ปี โดยระหว่างที่เสียชีวิตนั้น กำลังอยู่ในช่วงการถ่ายทำภาพยนตร์ Dark Blood ซึ่งถูกนำมาออกฉายในอีก 19 ปีให้หลังในปี 2012

ริเวอร์ ฟินิกซ์เป็นนักแสดงอายุน้อยชื่อดังในยุค 90 มีฝีมือในระดับแนวหน้า และถูกคาดหวังไว้ว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในวงการฮอลลีวูด ซึ่งในขณะนั้นรวมไปถึงแบรต พิตต์ จอห์นนี่ เดปป์ และคีอานู รีฟ

ชีวิตในวัยเด็ก

แก้

ริเวอร์ ฟินิกซ์ เกิดวันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม ปี 1970 ในเมืองมาดราส มลรัฐโอเรกอน เป็นบุตรคนแรกของอาร์ลิน ดูเนตซ์และจอห์น ลี บอททอม[3] โดยชื่อริเวอร์นั้นมีที่มาจาก "แม่น้ำแห่งชีวิต" (The River of Life) ในหนังสือสิทธัตถะ[1]โดยแฮร์มัน เฮ็สเซอ และชื่อกลาง "จูด" (Jude) มีที่มาจากเพลง Hey Jude โดยวงดนตรี The Beatles ในบทสัมภาษณ์จากนิตยสาร People ริเวอร์กล่าวว่า ครอบครัวของเขามีลักษณะความเป็นฮิปปี้ [3]โดยแม่ของเขาเกิดในย่านบรอนซ์ มลรัฐนิวยอร์ก ในครอบครัวชนชั้นกลางชาวยิวซึ่งย้ายถิ่นฐานมาจากรัสเซียและฮังการี[4][5][6][7] และพ่อ มีพื้นเพของชาวคาทอลิกเชื้อสายเยอรมันและฝรั่งเศสในฟอนตานา มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 1968 อาร์ลิน มารดาของฟินิกซ์ได้เดินทางคนเดียวข้ามประเทศสหรัฐฯ และได้พบกับจอห์น ลี บอททอม บิดาในระหว่างการปีนเขา ทั้งคู่แต่งงานวันที่ 13 กันยายน 1969 ในเวลาเพียงไม่ถึง 1 ปีหลังจากนั้น ทำงานประกอบอาชีพรับจ้างเก็บผลไม้ในไร่ต่างๆ[8]

ครอบครัวฟินิกซ์ย้ายถิ่นฐานข้ามประเทศหลายครั้งในขณะที่เขายังเด็ก โดยฐานะทางครอบครัวไม่สู้ดีนัก[9]และต้องดิ้นรนเสมอ ริเวอร์ในวัยเด็กมักจะพาน้องสาวไปทำการแสดงเล่นกีตาร์ระหว่างมุมถนนเพื่อหารายได้ช่วยครอบครัว โดยที่เขาเองไม่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว "เขาไม่ได้รับการศึกษาเลย หมายถึงเขาสามารถเขียนและอ่านหนังสือได้ และเขาก็ชื่นชอบการอ่าน แต่เขาขาดสำนึกพื้นฐานทางด้านประวัติศาสตร์และวรรณกรรมโดยสิ้นเชิง"[9] นักประพันธ์บท (มารดาของนักแสดง Jake Gyllenhaal) นาโอมิ โฟเนอร์กล่าว ในขณะที่จอร์จ ชโลเชอร์กล่าวไว้ว่าริเวอร์มีปัญหาด้านความเข้าใจในการอ่าน (dyslexia[10])

ลัทธิ Children of God

แก้

ในปี 1973 ครอบครัวฟินิกซ์ได้ลงหลักปักฐานในเมืองคาราคัส ประเทศเวเนซุเอลา และเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่มทางศาสนา the Children of God[11] ถึงแม้ว่าริเวอร์จะไม่ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับลัทธิออกสาธารณะมากนัก อย่างไรก็ตาม เขาได้กล่าวไว้ในบทความ the Phoenix Sun ใน Esquire ปี 1994 ว่า "พวกเขาน่ารังเกียจ พวกเขาทำลายชีวิตของคนอื่น[12]" นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าริเวอร์ได้ถูกล่วงละเมิดทางเพศเมื่ออายุเพียง 4 ปี ในบทสัมภาษณ์จากนิตยสาร Details ปี 1991 ฟินิกซ์กล่าวว่าเขาสูญเสียพรหมจรรย์ตั้งแต่ตอนอายุ 4 ขวบ ในระหว่างที่เข้าร่วมลัทธิ[13] "แต่ผมได้ปิดกั้นความทรงจำส่วนนั้นออกไป"[14] อย่างไรก็ตาม หลายปีถัดมา วาคีน น้องชายของฟินิกซ์ได้ออกมาแก้ข่าวในภายหลัง "มันเป็นแค่มุกตลกโดยสิ้นเชิง เป็นแค่การเล่นตลกกับสำนักข่าว เรื่องที่กุขึ้นเพราะเขาเหนื่อยกับการต้องตอบคำถามไร้สาระของสื่อ[15]" อาร์ลินและจอห์นกับครอบครัวได้ออกจากลัทธิในภายหลังเนื่องจากความเชื่อที่ไม่ตรงกันกับทางโบสถ์

อาชีพการแสดง

แก้

1980 - 1985: การทำงานระยะแรก

แก้

ในเวลาต่อมาหลังจากนั้น ในปี 1977 ทั้งครอบครัวได้เปลี่ยนนามสกุลจาก บอททอม เป็น ฟินิกซ์[7] และย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านของตาและยายทูนหัวของริเวอร์ ในมลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา[16] ระยะหนึ่ง ก่อนจะย้ายไปอยู่ในเมืองลอส แอนเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย จอห์นและอาร์ลินสนับสนุนให้ลูกๆ ทำงานด้านในวงการบันเทิง ซึ่งแมวมองผู้มีความสามารถ ไอริส เบอร์ตัน ได้ค้นพบเด็กๆ ครอบครัวฟินิกซ์ในเวลาต่อมา โดยอาร์ลินได้กลับมาทำงานประจำในตำแหน่งเลขานุการให้กับสถานีโทรทัศน์ NBC ส่วนจอห์นทำงานเป็นสถาปนิก

ริเวอร์เริ่มทำงานจากการถ่ายโฆษณาให้กับแบรนด์ต่างๆ อาทิเช่น มิตซูบิชิ โอเชียน สเปรย์ และแซกส์ ฟิฟธ์ อเวนิว หลังจากนั้นไม่นาน เขาและน้องๆ ก็ได้เซ็นสัญญากับ เพนนี มาร์แชล จากพาราเมานท์ พิกเจอร์ส ริเวอร์และน้องสาว เรน ได้รับบทบาทในรายการโชว์ Real Kids ในฐานะนักแสดงเปิดรายการอุ่นเครื่องกับผู้ชมทางบ้าน ในปี 1980 ริเวอร์เริ่มหันมาทำงานด้านการแสดงอย่างจริงจัง และได้ปรากฏตัวในรายการทีวีครั้งแรกเรื่อง Fantasy โดยร้องเพลงร่วมกับเรน[17]

ในปี 1982 ริเวอร์ได้ผ่านการแคสติ้งในซีรีส์สั้นทางโทรทัศน์ช่อง CBS เรื่อง Seven Brides for Seven Brothers โดยที่เขาได้รับบทเป็นน้องชายคนสุดท้องของบ้าน เกอธรี่ แมคแฟเดน (Guthrie McFadden) ฟินิกซ์ได้ออดิชั่นโดยการแสดงเลียนแบบ เอลวิส เพรสลีย์ กับกีตาร์ซึ่งทำให้โปรดิวเซอร์ประทับใจเป็นอย่างมาก[18] และด้วยอายุวัยนี้ เขายังเป็นนักเต้นแท็ปที่มีความสามารถอีกด้วย[9]

ประมาณ 1 ปีหลังจากซีรีส์เรื่อง Seven Brides จบลงในปี 1983 ริเวอร์ได้รับบทบาทใหม่ในปี 1984 ในภาพยนตร์โทรทัศน์ Celebrity โดยแสดงเป็น เจฟฟีย์ ครอว์ฟอร์ด (Jeffie Crawford) ในวัยเด็ก ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะได้เวลาออกอากาศเพียงประมาณสิบนาทีเท่านั้น แต่กลับได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก[19] และเกือบ 1 เดือนถัดมาในเรื่อง the ABC Afterschool Special: Backwards: The Riddle of Dyslexia ริเวอร์ได้รับบทเป็นเด็กชายซึ่งค้นพบว่าตัวเองมีอาการ dyslexia โดยระหว่างนั้น วาคีนได้เริ่มรับงานแสดงในบทบาทเล็กๆ ไปพร้อมกับพี่ชายเช่นกัน

ในเดือนกันยายน ริเวอร์ได้แคสติ้งเป็นไบรอัน (Brian) ตัวละครที่มีบทพูดเพียงประโยคเดียว ในตอนแรกของซีรีส์โทรทัศน์ It's Your Move ฟินิกซ์ยังได้ผ่านการแคสเป็น โรเบิร์ต เคเนดี จูเนียร์ (Robert F. Kennedy Jr.) ลูกชายของโรเบิร์ต เคเนดี ในภาพยนตร์โทรทัศน์ Robert Kennedy and His Times ภายหลังจากที่บทบาทของเขาในเรื่อง Dyslexia ได้รับความสนใจไม่นาน เขาก็ได้รับการแคสติ้งบทสำคัญในเรื่อง Surviving: A Family in Crisis ร่วมกับนักแสดงมอลลี ริงวัลด์และเฮเธอร์ โอ รอค โดยริเวอร์แสดงเป็นฟิลิป โบรแกน (Philip Brogan) โดยในระหว่างการถ่ายทำเรื่อง Surviving นั้น ไอริส เบอร์ตัน ผู้จัดการส่วนตัวได้ติดต่อเขาเกี่ยวกับบทบาทใหม่ที่อาจจะได้รับในภาพยนตร์จอเงินเรื่อง Explorers[20]

ในเดือนตุลาคมปี 1984 ฟินิกซ์ผ่านการแคสติ้งและได้รับบท วูล์ฟกัง มูเอลเลอร์ (Wolfgang Müller) ในภาพยนตร์ไซไฟต้นทุนสูงของโจ ดันเต Explorers ร่วมกับอีธาน ฮอว์ค Explorers ได้ออกฉายในฤดูร้อนปี 1985 และถือว่าเป็นบทบาทครั้งใหญ่ของริเวอร์ครั้งแรกในวงการภาพยนตร์ ในเดือนตุลาคมปี 1986 ฟินิกซ์ร่วมแสดงกับ ทิวส์เดย์ เวลด์และเจอรัลดีน ฟิทซ์เจอรัลในภาพยนตร์โทรทัศน์ชื่อดัง Circle of Violence: A Family Drama ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวต่อผู้สูงอายุ (elder abuse) โดยเรื่องนี้เป็นบทบาททางโทรทัศน์เรื่องสุดท้ายของริเวอร์ก่อนที่เขาจะเริ่มประสบความสำเร็จในวงการภาพยนตร์

1986 - 1993: ประสบความสำเร็จครั้งสำคัญใน Stand by Me, Running on Empty และ My Own Private Idaho

แก้

ฟินิกซ์ได้รับบทสำคัญในภาพยนตร์แนว coming-of-age ชื่อดังโดยร็อบ เรนเนียร์ Stand by Me (1986)[21][1] ซึ่งทำให้เขาขึ้นมามีชื่อเสียงมากขึ้น โดยการถ่ายทำอยู่ระหว่างวันที่ 17 มิถุนายน 1985 จนถึงปลายเดือนสิงหาคมในปีเดียวกัน ในขณะที่ริเวอร์มีอายุ 14 และ 15 ปีในช่วงปิดกองพอดี อย่างไรก็ตามในระหว่างการถ่ายทำ เขามีปัญหาในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครออกมา ร็อบจึงบอกให้เขานึกถึงตอนที่ผู้ใหญ่ที่มีความสำคัญเขาทำให้เขาผิดหวัง ริเวอร์พยักหน้าและเดินออกไปครุ่นคิด แล้วจึงกลับมาถ่ายในเทคถัดมา ซึ่งเป็นฉากที่เขาร้องไห้อย่างสมจริงในภาพยนตร์ ร็อบกล่าวว่า เขาไม่เคยรู้เลยว่าตอนนั้นริเวอร์กำลังคิดถึงอะไร[16]The Washington Post ลงความเห็นว่าริเวอร์ "เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง[9]" ฟินิกซ์กล่าวในภายหลังว่า "ความจริงแล้วผมคิดว่าตัวเองมีความคล้ายคลึงกับตัวละครคริส แชมเบอร์ส (Chris Chambers) มากเสียจนถ้าผมไม่มีครอบครัวของตัวเองให้กลับไปหาภายหลังจากการถ่ายทำแล้ว ผมคงต้องไปหาจิตแพทย์[22]"

ในปีถัดมา ริเวอร์ได้สิ้นสุดการถ่ายทำภาพยนตร์ The Mosquito Coast (1986) [23]ในภูมิอากาศเขตร้อนชื้นของประเทศเบลีซ โดยแสดงเป็นลูกชายของแฮริสสัน ฟอร์ดและเฮเลน เมอร์เรน "เห็นได้ชัดว่าเขาจะต้องกลายเป็นนักแสดงชื่อดัง" ปีเตอร์ เวียร์ ผู้กำกับสังเกต "มันเป็นอะไรที่นอกเหนือไปจากความสามารถในการแสดง ซึ่งลอเรนซ์ โอลิเวอร์ไม่เคยมีคุณสมบัตินี้เหมือนกับที่ริเวอร์มีเลย[9]" ระหว่างการถ่ายทำ 5 เดือน ริเวอร์ได้สานความสัมพันธ์กับนักแสดง มาร์ธา พลิมพ์ตัน (Martha Plimpton) ซึ่งถือว่าเป็นแฟนสาวที่จริงจังคนแรก โดยความสัมพันธ์นี้ได้ดำเนินต่อไปอีกหลายปีแม้ว่าการถ่ายทำจะจบลงไปแล้วก็ตาม[9] อย่างไรก็ตาม เสียงตอบรับจากภาพยนตร์เป็นไปในทางที่ไม่ดีนัก[24] และนับว่าเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่เรื่องของแฮริสสัน ฟอร์ดที่ทำรายได้ไม่มาก ต่อมา ฟินิกซ์ได้รับบทนำในภาพยนตร์แนวคอมเมดี้-ดราม่า A Night in the Life of Jimmy Reardon (1988) ซึ่งเขาไม่ประทับใจกับการแสดงของตนเองนัก[24] "มันไม่ได้ออกมาอย่างที่คิดไว้ และผมก็ต้องโทษตัวเองในเรื่องนั้น ผมอยากให้มันตลก แต่มันออกมาแบบฝืนๆ ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองเหมาะกับบทนี้หรือเปล่า" ต่อมาริเวอร์แสดงในภาพยนตร์ Little Nikita ร่วมกับซิดนีย์ โพเทียร์ โดยช่วงระหว่างนั้น ครอบครัวฟินิกซ์ได้ย้ายบ้านไปแล้ว 4 ครั้ง ในที่สุดเมื่อริเวอร์อายุ 18 ปี เขาได้ซื้อบ้านไร่ให้กับครอบครัวในเมืองเล็กๆ ชื่อไมคาโนพี ในมลรัฐฟลอริดา ใกล้เมืองเกนส์วิลล์ เพื่อที่จะขยับขยายไปยังประเทศคอสตาริกาต่อไป[25]

ด้วยภาพลักษณ์และฐานแฟนคลับซึ่งส่วนใหญ่มีอายุไม่มาก ฟินิกซ์มักจะถูกผู้ร่วมงานประเมินความสามารถในทางที่ต่ำไปบ่อยๆ"ตอนที่ผมเห็นเขาครั้งแรก ผมคิดว่า: นี่ก็แค่เด็กผมบลอนด์รูปหล่ออีกคน" จัดด์ เฮิร์ช ผู้รับบทพ่อของแดนนี (ริเวอร์) ในภาพยนตร์ Running on Empty (1988)[26] โดยซิดนีย์ ลูเมต์ ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 6 ของริเวอร์และเป็นหนึ่งในผลงานการแสดงที่ดีที่สุดของเขากล่าว "แต่หลังจากนั้นผมได้เปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว: ริเวอร์ไม่ใช่คนที่ทำอะไรส่งๆ เขาเป็นคนที่ลึกซึ้งมาก" [27] ฟินิกซ์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และได้รับรางวัลเดียวกันจากสมาคมนักวิจารณ์ เขาต้องห้ามตัวเองไว้ไม่ให้กระโดดด้วยความดีใจในขณะที่เควิน ไคล์นเอาชนะเขาไปในเวทีรางวัลออสการ์ "ฉันต้องหยุดริเวอร์ไม่ให้วิ่งไปกอดเควิน" อาร์ลิน แม่ของริเวอร์กล่าว "เขาไม่เคยคิดมากเลยที่ไม่ได้รับรางวัล[25]"

ในปีเดียวกัน ฟินิกซ์ได้ร่วมงานกับแฮริสสัน ฟอร์ดอีกครั้ง โดยรับบทเป็นอินเดียนา โจนส์ในวัยเด็ก ในภาพยนตร์ box-office ชื่อดัง Indiana Jones and the Last Crusade[28] กำกับโดยสตีเฟน สปีลเบิร์ก "ผมไม่คิดว่าผมกวนใจเขา (ฟอร์ด)" ริเวอร์รำลึก"ผมไม่ได้ถามเขาตลอดเวลาว่าอินเดียน่า โจนส์นั้นเป็นอย่างไร ผมเรียนรู้จากเขา สิ่งสำคัญที่สุดของแฮริสสันคือการที่เขาทำให้การแสดงดูเป็นเรื่องง่าย เขาเป็นคนที่มั่นคงในความคิดของตัวเองแต่ก็มีความสบายๆ" ในขณะที่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ The Mosquito Coast ในปี 1885 นั้น แฮริสสันได้พูดถึงริเวอร์ด้วยความประทับใจเช่นเดียวกัน "เขาเป็นคนมีพรสวรรค์โดยธรรมชาติ ซึ่งหลายคนก็มีเหมือนกัน แต่ริเวอร์เป็นคนที่จริงจังกับงานและมีความเป็นมืออาชีพ ซึ่งมากกว่าที่คุณจะคาดหวังในเด็กอายุ 15 ปี หลายครั้งเขาถามคำถามที่ผมไม่มีคำตอบให้ แต่เป็นคำถามที่น่าสนใจมากๆ[29]"

 
ริเวอร์และมาร์ธาในงาน Academy Award (1989)

ในปี 1990 รูปของเขาโดยบรูซ เวบเบอร์ได้ถูกถ่ายลงนิตยสาร Vogue และเป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ Gap นอกจากนี้ ฟินิกซ์ยังแสดงในภาพยนตร์ I Love You to Death (1990) [30]ถัดมาปี 1991 ริเวอร์ได้รับบทร่วมกับดาราสาว ลิลี เทเลอร์ ในภาพยนตร์โรแมนติกอินดี้ Dogfight[31] โดยแนนซี ซาโควา โดยรับบทเอ็ดดี เบิร์ดเลซ[ลิงก์เสีย] (Eddie Birdlace) นาวิกโยธินหนุ่ม ผู้ใช้เวลาคืนสุดท้ายในสหรัฐฯ ก่อนขึ้นเรือไปรบในสงครามเวียดนามในเดือนพฤศจิกายน ปี 1963 โดยมีการฝึกซ้อมบทและถ่ายทำในซีแอทเทิลและซานฟรานซิสโก ในขณะนั้น ฟินิกซ์ได้เริ่มกลายมาเป็นนักแสดงนำที่มีชื่ออยู่บนบรรทัดแรก "เขาอายุน้อยกว่าฉัน 10 ปี แต่กลายมาเป็นครูของฉัน มันเป็นงานถ่ายทำในสตูดิโอครั้งแรกในชีวิตของฉัน" ซาโควารำลึก "เขาสอนวิธีมองไปยังตัวนักแสดงถ้าหากฉันเป็นกล้อง มันเป็นอะไรที่น่าทึ่ง ...สิ่งต่างๆ ดูเหมือนออกมาจากส่วนที่อยู่ลึกๆ ภายในของเขา (สัญชาตญาณ) นั่นเป็นส่วนที่น่ากลัว" [27]อย่างไรก็ตามลิลี เทเลอร์ กล่าวว่า ริเวอร์มีปัญหาในการแยกตัวเองออกจากตัวละคร "เขาไม่ได้เล่น (ยา) อะไรค่ะ แค่ดื่มบ้างเท่านั้นเอง ความแตกต่างต่างหากที่เป็นส่วนที่ยาก และมันแตกต่างจากสิ่งที่เขาเป็นอย่างมากจริงๆ เขาช่างเป็นคนรักสงบและรักอิสระ และเขาก็มาอยู่ตรงนี้ รับบทเป็นทหารเรือ จริงๆ แล้วมันทำให้เขาไม่สบายใจ และฉันไม่คิดว่าเขาสนุกหรือตื่นเต้นไปกับมัน[32]" จากหนังสือ Last Night at the Viper Room: River Phoenix and the Hollywood He Left โดย Gavin Edwards กล่าวว่า ริเวอร์ยังคงติดการสูบบุหรี่ภายหลังจากการถ่ายทำ[8]

ฟินิกซ์ได้รู้จักกับนักแสดงหนุ่ม คีอานู รีฟ (Keanu Reeve) ในกองถ่าย ขณะที่คีอานูถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Parenthood (1989) ร่วมกับวาคีน น้องชายของริเวอร์และมาร์ธา พลิมพ์ตัน แฟนสาวของริเวอร์ในขณะนั้น มีข่าวรายงานว่าริเวอร์ได้เข้าร่วมออดิชั่นในเรื่อง Bill & Ted's Excellent Adventure ซึ่งอเล็กซ์ วินเทอร์ได้รับบทร่วมกับคีอานูไปในที่สุด[33][34]

ในเวลาต่อมา ริเวอร์ได้แสดงร่วมกับรีฟเป็นครั้งแรก (ร่วมกับเควิน ไคลน์ เทรซีย์ อูลแมนและโจน พลาวไรท์) ในภาพยนตร์ black comedy เรื่อง I Love You to Death (1990) โดยริเวอร์รับบทเป็นหนุ่มร้านพิซซ่า เดโว นอด (Devo Nod) และคีอานูแสดงเป็น มาร์ลอน เจมส์ (Marlon James) นักจ้างวานฆ่าติดยาที่ดูจะทำงานไม่ได้เรื่อง ด้วยอายุที่ห่างกันไม่มากและความชอบในรถมอเตอร์ไซค์[35]ที่คล้ายกัน ทั้งคู่จึงสนิทสนมกันในเวลาไม่นาน และได้รับงานแสดงร่วมกันอีกครั้งในภาพยนตร์นำสมัยของกัส แวน แซนต์ My Own Private Idaho (1991)

แวน แซนต์ ตัดสินใจที่จะส่งบทสคริปต์ให้กับผู้จัดการของฟินิกซ์และรีฟ โดยทำใจไว้ว่าจะได้รับการปฏิเสธกลับมา ซึ่งอย่างไรก็ตาม ผู้จัดการของรีฟมีความสนใจในตัวบท แต่ผู้จัดการของฟินิกซ์ไม่แม้แต่จะยอมส่งบทให้ริเวอร์ดู แวน แซนต์ขอให้รีฟเดินทางไปมอบสคริปต์ให้กับริเวอร์ที่บ้านในไมคาโนพี ฟลอริดา นอกเมืองเกนส์วิลล์ รีฟซึ่งในตอนนั้นอายุ 26 ปี ขี่รถจักรยานยนต์ 1974 Norton Commando[36] เป็นระยะทาง 1,300 ไมล์ไปหาริเวอร์ที่ฟลอริดาจากบ้านของเขาในโทรอนโต ประเทศแคนาดา[35]

"เรากำลังอยู่ในช่วงถ่ายทำ I love you to death อยู่ตอนที่ได้รับสคริปต์มา เราขับรถไปบนซานตา โมนิกา บูลเลอร์วาร์ด อาจจะกำลังอยู่ระหว่างทางไปคลับ และแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับไอเดียทั้งหมดของเรื่องนี้ เราตื่นเต้นกันมาก มันอาจจะเป็นฝันร้ายก็ได้ -- ฝันที่ไม่น่าเป็นจริงเพราะไม่มีใครยอมตั้งใจกับมัน แต่เราก็แค่บังคับตัวเองให้ทำ เราพูดประมาณว่า "โอเค ฉันจะทำถ้านายทำ แล้วฉันก็จะไม่ทำถ้านายไม่ทำ" เราจับมือเชคแฮนด์กัน ก็แค่นั้น" - ริเวอร์

..."ผมอยากลองเล่นเชคสเปียร์กับริเวอร์สักครั้ง ต้องตลกมากแน่ๆ เราน่าจะเล่น A Midsummer Night’s Dream หรือ Romeo and Juliet" - คีอานู

"ฉันจะเป็นจูเลียตเอง" - ริเวอร์ [37]

ในรีวิวนิตยสาร Newsweek เดวิด แอนเซนกล่าวชมการแสดงของริเวอร์ "ฉากข้างกองไฟที่ไมค์ได้สารภาพรักข้างเดียวต่อสก็อตอย่างติดขัดนั้น เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนและน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก ในฉากนี้ -- และในทุกๆ ฉาก ฟินิกซ์ได้ดำดิ่งลงไปในตัวละคร จนกระทั่งคุณจะลืมไปเลยว่านั่นไม่ใช่ตัวเขาจริงๆ: เป็นการแสดงออกที่อ่อนไหวอย่างน่าประหลาดใจ เฉียบคมและเกินจริงในขณะเดียวกัน" ในบทบาทไมค์ วอเตอร์สจาก My Own Private Idaho ทำให้ริเวอร์ชนะรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส, the National Society of Film Critics และ the Independent Spirit Awards ซึ่งตัวภาพยนตร์และความสำเร็จที่ได้ แสดงถึงภาพลักษณ์ของริเวอร์ในฐานะนักแสดงนำชายที่มีศักยภาพและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

อย่างไรก็ตาม การได้ออกไปเรียนรู้บทบาทและใช้ชีวิตร่วมกับคนไร้บ้าน ประกอบกับการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละคร ทำให้ฟินิกซ์ที่เคยเพียงแต่ใช้สารเสพติดตามโอกาสประสบกับปัญหาจริงจังขึ้น[38][3] ในหนังสือ Pink ของกัส แวน แซนต์ กล่าวถึงริเวอร์ว่า "ริเวอร์ไม่ได้ติดสารเสพติดแต่เพียงแค่ใช้บางโอกาส เขามีปัญหาเรื่องแอลกอฮอล์มากกว่า ฟินิกซ์พยายามซ่อนมันไว้ เพราะเขากลัวว่ามันจะทำให้อาชีพของเขาพังลงเหมือนกับความสัมพันธ์ของเขาและมาร์ธา พลิมพ์ตัน"[39]

"เขารักมาร์ธามากจริงๆ ริเวอร์เคยพูดถึงเรื่องที่เธอเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากแค่ไหน และเขาจะเสียใจมากทุกครั้งเมื่อคิดถึงการที่คนอื่นได้อยู่กับเธอ" - นิค ริเชอร์ท

ริเวอร์ร่วมงานกับโรเบิร์ต เรดฟอร์ดและผู้กำกับ ซิดนีย์ โพเทียร์จาก Little Nikita อีกครั้งในภาพยนตร์แนวระทึกขวัญและสมคบคิด/จารกรรม Sneakers (1992) หลังจากนั้น 1 เดือนได้เริ่มถ่ายทำภาพยนตร์แนวเวสเทิร์นโดยแซม เชพเพิร์ด Silent Tongue (ซึ่งออกฉายในปี 1994) นอกจากนี้เขายังออดิชั่นบทพอล (Paul) ในเรื่อง A River Runs Through It ซึ่งบทตกเป็นของแบรด พิตต์ ริเวอร์และเรน น้องสาว ได้เป็นนักแสดงรับเชิญใน Even Cowgirls get the Blues (1993) ของกัส

ในปีเดียวกัน ฟินิกซ์ได้แสดงในภาพยนตร์โรแมนติกThe Thing Called Love (1993)[40] โดยปีเตอร์ บ็อกดาโนวิช ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเพลงคันทรี ริเวอร์ได้พบกับนักแสดง ซาแมนธา เมธิส (Samantha Mathis) และทั้งคู่ได้สานความสัมพันธ์ในเวลาต่อมา โดยที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายที่ถ่ายทำจนจบก่อนที่เขาจะเสียชีวิต

ดนตรี

แก้

แม้ว่าอาชีพนักแสดงของริเวอร์จะเป็นสิ่งที่สร้างรายได้หลักให้กับครอบครัว เพื่อนสนิทและคนใกล้ชิดของเขากล่าวว่าความสนใจที่แท้จริงของริเวอร์คือดนตรี ฟินิกซ์เป็นนักร้อง นักแต่งเพลงและนักเล่นกีตาร์ที่มีฝีมือ เขาหัดเรียนรู้ด้วยตนเองเมื่ออายุ 5 ขวบ และกล่าวในบทสัมภาษณ์กับ E! ในปี 1988 ว่า ครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่ลอส แอนเจลิสขณะที่เขาอายุ 9 ปี เพื่อให้เขากับน้องสาว "...ได้เป็นศิลปิน ผมตกกระไดพลอยโจนได้เข้ามาทำงานโฆษณาด้วยเหตุผลทางการเงิน และการแสดงก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่น่าดึงดูดใจในตอนนั้น" ก่อนที่จะได้เจอกับแมวมองผู้มีความสามารถ ริเวอร์และน้องๆ ได้พยายามสู่อาชีพด้านดนตรี โดยการเล่นเพลงโคฟเวอร์ข้างถนนในเวสต์ ฮอลลีวูด และมักจะโดนเทศกิจอยู่หลายครั้ง เพราะมีผู้คนมารวมกลุ่มกันกีดขวางทางเดินเท้า ในครั้งแรกที่ภาพยนตร์ของเขาประสบความสำเร็จ ริเวอร์เก็บเงิน 650 เหรียญเพื่อซื้อของที่หมายตาไว้ คือกีตาร์ที่เขาใช้เขียนสิ่งซึ่งฟินิกซ์อธิบายไว้ว่าเป็น "โพรเกรสซิฟโฟล์คร็อกที่เข้าถึงจิตวิญญาณ[24]"

ในขณะถ่ายทำ A Night in the Life of Jimmy Reardon ในปี 1986 ริเวอร์ได้แต่งและอัดเพลง "Heart to Get" เพื่อใช้ในฉาก end credit ของภาพยนตร์โดยเฉพาะ ซึ่งทาง 20th Century Fox ได้ตัดส่วนนั้นออกไปในงานฉบับสมบูรณ์ แต่หลายปีถัดมา ผู้กำกับ วิลเลียม ริเชอร์ท ได้นำส่วนนั้นกลับมาใส่ในงานฉบับ director's cut ในระหว่างการถ่ายทำนั้นเอง ที่ริเวอร์ได้รู้จักกับคริส แบล็กเวลล์ ผู้ก่อตั้ง Island Records ซึ่งทำให้ริเวอร์ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินกับทางค่าย 2 ปี อย่างไรก็ตาม ริเวอร์ไม่ชอบการเป็นศิลปินเดี่ยวและการร่วมงานแบบคอลแลบ (Collaboration) ดังนั้น เขาจึงตั้งวงดนตรีขึ้น โดยระหว่างที่อยู่บ้านในฟลอริดา ในวัยนักศึกษา ฟินิกซ์ได้เข้าไปในมหาวิทยาลัยในเมืองเกนส์วิลล์และวางประกาศหาผู้สนใจเข้าร่วมสมาชิกวง[8] ในระยะแรกคนที่เข้าร่วมเป็นเพื่อนของครอบครัวและคนรู้จัก รวมไปถึงเรน น้องสาว วงอเลกาส์ แอตติก (Aleka's Attic) ได้ถูกตั้งขึ้นในปี 1987[41][42] [43]

"อเลกา (Aleka) เป็นตัวละครในจินตนาการของผม เขาเป็นกวีและนักปรัชญาที่ชักชวนเพื่อนของตัวเองมารวมกลุ่มกันที่ห้องใต้หลังคา (Attic) เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เมื่ออเลกาเสียชีวิต เพื่อนๆ ของเขาได้ตั้งวงดนตรีขึ้นเพื่อแบ่งปันแนวคิดของเขาผ่านเสียงดนตรี" - ริเวอร์[8]

ฟินิกซ์ได้พยายามสร้างชื่อเสียงของวงด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง และไม่ต้องการให้วงดนตรีนำชื่อของเขาไปใช้ หากว่าการแสดงรอบนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อองค์การการกุศล[8] เพลงแรกที่ริเวอร์ปล่อยออกมาในปี 1989 มีชื่อว่า "Across the Way" แต่งร่วมกับจอช แมคเคย์ สมาชิกวง เป็นเพลงในอัลบั้มTame Yourself [44] โดยประโยชน์ที่ได้มอบให้กับองค์กร PETA ในปี 1991 ฟินิกซ์เขียนและบันทึกเสียงบทกลอน "Curi Curi" ให้กับศิลปินมิลตัน นาสซิเมนโต ในอัลบั้มTXAI[45] โดยในปีเดียวกัน เพลงของอเลกาส์ แอตติก "Too Many Colors" ได้ถูกนำมาใช้ในภาพยนตร์ My Own Private Idaho ซึ่งเป็นเรื่องที่ริเวอร์ได้รับบทนำ

ด้วยตารางงานที่ยุ่งมากขึ้น ทำให้งานของวงไม่เดินหน้า และเหตุผลอื่นๆ ทำให้อเลกาส์ แอตติกต้องยุบวงในปี 1992[8] อย่างไรก็ตาม ฟินิกซ์ได้เขียนเพลงและเล่นดนตรีอยู่เสมอ ระหว่างการถ่ายทำThe Thing Called Love ในปีถัดมา ริเวอร์ได้แต่งเพลง "Lone Star State of Mine[46]" ซึ่งได้ถูกนำมาใช้แสดงในภาพยนตร์ โดยที่เพลงนั้นไม่ได้ถูกรวมไว้ในอัลบั้มซาวนด์แทรค ในปี 1996 เพลง "Note to a Friend" ของอเลกาส์ แอตติกได้ถูกปล่อยในอัลบั้มการกุศล In Defense of Animals; Volume II โดยได้ฟลี เพื่อนอีกคนของริเวอร์จากวงเรดฮอตชิลีเพปเปอส์มาเล่นเบส ริเวอร์ยังเล่นดนตรีร่วมกับมือกีตาร์ จอห์น ฟรุสซานติ สมาชิกร่วมวงของฟลี หลังจากที่จอห์นได้ออกจากวง เพลง "Height Down" และ "Well I've Been" ได้ถูกปล่อยในอัลบั้มเดี่ยวที่ 2 ของฟรุสซานติ Smile from the Streets You Hold ในปี 1997 นอกจากนี้ ริเวอร์ยังเป็นผู้ลงทุนใน the original House of Blues (ก่อตั้งโดยแดน แอคครอยด์ นักแสดงร่วมและเพื่อนที่ดีของริเวอร์ใน Sneakers ) ในเคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งได้เปิดประตูต้อนรับอีกครั้ง หลังจากเป็นสถานที่ให้อาหารแก่คนไร้บ้านในวันขอบคุณพระเจ้าปี 1992[47]

กิจกรรม/รณรงค์

แก้

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี 1977 ขณะที่ครอบครัวบอททอมออกจากการเป็นสมาชิกลัทธิ the Children of God และขึ้นเรือเดินทางจากประเทศเวเนซุเอลากลับไปยังสหรัฐฯ ริเวอร์ วาคีน เรน และลิเบอร์ตี ได้เห็นชาวประมงจับปลาขึ้นมาจากคันเบ็ด และถูกตรึงขณะที่ปลาดิ้นพล่านไปมา เด็กๆ เคยรับประทานปลามาก่อน แต่ไม่ทราบเลยว่าปลาเหล่านั้นมาจากไหน หรือถูกจับยังไงก่อนนำมาทำเป็นอาหาร "มันรุนแรงและดูจริงจังมาก" วาคีนกล่าวในบทสัมภาษณ์กับVanity Fair "ผมยังจำสีหน้าตอนนั้นของแม่ได้ชัดตอนที่พวกเราตะโกนใส่แม่ ทำไมแม่ถึงไม่บอกเราก่อนหน้านี้ล่ะว่าปลาต้องถูกนำไปทำแบบนั้น ผมจำได้ว่าแม่น้ำตาไหล เธอไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี"[15] ภายในสองเดือนถัดมา ทั้งครอบครัวย้ายไปอยู่มลรัฐฟลอริดาและยังคงเป็นมังสวิรัติ (Vegan) รวมถึงปฏิเสธที่จะใช้ผลิตภัณฑ์หรือเสื้อผ้าที่มีที่มาจากสัตว์จนถึงทุกวันนี้[8]

ฟินิกซ์เป็นนักรณรงค์สิทธิสัตว์และสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการเมือง เขาเป็นโฆษกคนสำคัญของ PETA และยังได้รับรางวัลด้านมนุษยธรรมในปี 1992 ในฐานะผู้ระดมทุน ในปี 1990 ริเวอร์ได้เขียนบทความเกี่ยวกับการตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในวันคุ้มครองโลก โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือแฟนคลับวัยรุ่นของเขา โดยได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร Seventeen

"...ผมอยากหยุดสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทว่ามันเป็นการกระทำที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคนคนเดียว อย่างไรก็ตาม ผมสามารถหยุดสงครามทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตของผมได้โดยเริ่มจากการปฏิบัติต่อตนเองและคนรอบตัวของผม ผมอยากจะหยุดความอดอยากและทุพพิกขภัย แต่คนคนเดียวที่มีแค่สองมือไม่สามารถหยุดความหิวโหยของทุกคนได้ สิ่งที่ผมสามารถทำได้คือใช้เวลา ความพยายามและทุนเพื่อที่จะทำให้คนอื่นๆ ตระหนักรู้ถึงสภาพของคนที่ยากจนและยากลำบาก และถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถหยุดความโหดร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้ได้ ผมสามารถเป็นคนที่ใจดีกับสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของผมให้มากขึ้นได้..."[48]

มาร์ธา พลิมพ์ตัน แฟนสาวของริเวอร์รำลึก "ครั้งหนึ่งตอนที่เราอายุ 15 ปี ริเวอร์กับฉันไปทานอาหารเย็นกันที่ร้านอาหารหรูในแมนฮัตตัน และฉันสั่งปูนิ่มไป เขาออกจากร้านและเดินไปรอบๆ พาร์ก อเวนิว ร้องไห้ ฉันเดินออกไปและเขาบอกกับฉันว่า "ฉันรักเธอมาก ทำไม..." เขาดูเจ็บปวดมากที่ฉันทานเนื้อสัตว์ และที่ตัวเองไม่สามารถเป็นแบบอย่างให้ฉันในสิ่งที่ถูกต้องได้"[25]ริเวอร์ได้บริจาคเงินช่วยเหลือองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและมนุษยชนหลายองค์กร นอกจากนี้ยังซื้อป่าฝนที่ถูกคุกคามในประเทศคอสตาริกากว่า 800 เอเคอร์[49] ตลอดจนได้รณรงค์ปาฐกถาในหลากหลายกลุ่ม ฟินิกซ์และสมาชิกวงดนตรีได้ทำการแสดงเพื่อการกุศลที่เป็นที่รู้จัก ตลอดจนพื้นที่ใกล้บ้านในเกนส์วิลล์ มลรัฐฟลอริดา และสนับสนุนบิล คลินตันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 1992[50]

สาเหตุการเสียชีวิต

แก้
 
เดอะ ไวเปอร์ รูม ไนท์คลับบนย่านซันเซ็ท สตริป เมืองลอส แอนเจลิส

ในช่วงปลายเดือนตุลาคมปี 1993 ฟินิกซ์เดินทางกลับลอส แอนเจลิสได้เพียง 1 วัน หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องล่าสุด Dark Blood[51] โดยการถ่ายทำใช้เวลาประมาณ 6-7 สัปดาห์ในยูทาห์ และ 1 สัปดาห์ในมลรัฐนิวเม็กซิโก เพื่อทำการถ่ายฉากอื่นๆ ที่เหลือเพิ่มเติมอีก 3 สัปดาห์ โดยโปรเจกต์ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เสร็จสิ้นลงในปี 2012[52]

นักดนตรี (และผู้ค้ายาในอนาคต) บ๊อบ ฟอเรสต์ เพื่อนของฟินิกซ์กล่าวในบันทึกปี 2013 Running with Monsters โดยได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับชีวิตวันสุดท้ายของริเวอร์ และช่วงเวลาที่นำไปสู่จุดจบของเขา ในช่วงเย็นของวันที่ 30 ตุลาคม 1993 ฟินิกซ์ได้ขึ้นทำการแสดงกับวง P ร่วมกับฟลี และจอห์น ฟรุสซานติจากวงเรดฮอตชิลีเพปเปอส์ นักแสดงหนุ่มจอห์นนี เดปป์ กิ๊บบี เฮย์นส์จากบัทโฮล เซอร์เฟอร์ส และอัล จอร์เกนสันจากวงมินิสตรีที่คลับไวเปอร์ รูม ฮอลลีวูดไนท์คลับซึ่งดูแลโดยจอห์นนี เดปป์ในขณะนั้น[38] ฟอเรสต์กล่าวว่าฟินิกซ์และฟรุสซานติมาถึงคลับด้วยกัน และได้เจอกับซาแมนธา เมธิส แฟนสาวของริเวอร์ และน้องชาย วาคีน กับน้องสาว เรน ฟินิกซ์ พร้อมกันกับฟลีและเดปป์ หลังจากที่พวกเขามาถึง โคเคนก็ได้ถูกส่งต่อกันไปรอบๆ วง ฟอเรสต์ได้กล่าวภายหลังว่าฟินิกซ์ได้มีอาการเมายาและ "โซซัดโซเซราวกับนักมวยซึ่งถูกต่อยเข้าที่ศีรษะหลายๆ ครั้งในระหว่างรอบชกสิบห้ายก" เขากล่าว

ระหว่างการขึ้นแสดงวง P ฟอเรสต์กล่าวว่าฟินิกซ์ได้มาแตะเขาที่ไหล่ แล้วบอกกับเขาว่ารู้สึกไม่ค่อยดีนัก และคิดว่าตัวเองกำลังมีอาการจากการเสพยาเกินขนาด ฟอเรสต์บอกกลับไปว่าเขาไม่คิดว่าริเวอร์มีอาการนั้นเพราะว่าเขายังคงยืนและพูดได้อยู่ อย่างไรก็ตาม เขาได้เสนอจะพาฟินิกซ์ไปส่งที่บ้าน แต่ฟินิกซ์ปฏิเสธ บอกว่ารู้สึกดีขึ้นแล้ว ไม่นานต่อมา ฟอเรสต์กล่าวว่า จู่ๆ สถานการณ์ในคลับก็มีความวุ่นวายเกิดขึ้น เขาเดินออกไปข้างนอกและพบเมธิสกำลังกรีดร้อง ในขณะที่แฟนหนุ่มของเธอนอนอยู่บนทางเท้า และมีอาการชัก วาคีนได้โทรศัพท์เบอร์ 9-1-1 แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าริเวอร์ยังหายใจอยู่หรือไม่ ส่วนเรนได้พยายามทำการช่วยชีวิตเขาด้วยการหายใจปากต่อปาก[53]

เมื่อรถพยาบาลฉุกเฉินมาถึง ฟินิกซ์ยังคงมีชีวิตอยู่ รถเข็นผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล Cedars-Sinai Medical Center โดยฟลีได้ติดรถไปด้วย เมื่อฟอเรสต์มาถึงโรงพยาบาล เขาเห็นเมธิสกำลังยืนร้องไห้อยู่ในห้องโถง[54] การช่วยชีวิตฟินิกซ์ประสบความล้มเหลว เขาถูกวินิจฉัยเสียชีวิต ณ เวลา 1 นาฬิกา 51 นาทีของเช้าวันใหม่วันที่ 31 ตุลาคม 1993 ขณะอายุ 23 ปี[55][56]

ในปี 2013 จากหนังสือ Last Night at the Viper Room: River Phoenix and the Hollywood He Left Behind โดยเกวิน เอ็ดเวิร์ดส์ ได้กล่าวโทษฟรุสซานติว่าเป็นผู้ให้ยาเสพติดซึ่งเป็นสาเหตุการถึงแก่ความตายกับริเวอร์ ในบทสัมภาษณ์ของผู้กำกับ วิลเลียม ริเชอร์ท เอ็ดเวิร์ดส์ได้อธิบายถึงการเสียชีวิตของฟินิกซ์ กล่าวว่าซาแมนธาได้กล่าวโทษฟรุสซานติเช่นกัน

ริเวอร์ไม่ได้อยากไปที่คลับคืนนั้น เธอ (เมธิส) เสนอจะพาวาคีน (ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อว่า ลีฟ (Leaf)) และเรนไปที่คลับแทนเขาเนื่องจากวาคีนยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ ริเวอร์เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายและวิ่งไปเจอกันที่หน้าลิฟต์ ดังนั้นริเวอร์มาถึงคลับพร้อมกับซาแมนธา วาคีนและเรน พวกเขาได้ที่นั่งในบูทท้ายห้องโดยริเวอร์นั่งรอเพื่อจะได้ถูกชวนขึ้นไปเล่นดนตรี เขาตั้งใจสร่างยาเพราะวางแผนไว้ว่าจะขึ้นไปบนเวทีกับฟลี แต่หลังจากที่พบว่าบนเวทีนั้นมีคนแสดงเต็มแล้ว เขาเดินกลับพร้อมกับนำกีตาร์ของตัวเองมาเล่นที่โต๊ะ" จากคำพูดของริเชอร์ท หลังจากที่พวกเขามาถึงที่คลับ เมธิสกล่าวว่าจอห์น ฟรุสซานติได้เดินมาที่โต๊ะของพวกเขา และยื่นแก้วพลาสติกสีน้ำเงินให้กับริเวอร์พร้อมกับพูดว่า "ดื่มนี่สิ ริฟ มันจะทำให้นายรู้สึกยอดเยี่ยม" ริเวอร์ดื่มมันและมีปฏิกิริยาแทบจะทันที เขาโก่งคอ หลังกระตุก ก่อนจะพูดอย่างไม่ชอบใจนัก "มีบางอย่างผิดพลาด" จากนั้นอาเจียนที่โต๊ะ[57]

ริเชอร์ทพูดว่าเมธิสได้เปลี่ยนเรื่องราวของเธอในภายหลัง โดยไม่กล่าวถึงชื่อฟรุสซานติโดยตรง ริเชอร์ทยังกล่าวว่า ภายหลังจากการเสียชีวิตของฟินิกซ์ ฟรุสซานติมีอาการหวาดระแวง และขู่ว่าจะกระทำการอัตวินิบาตกรรมเนื่องจากกลัวว่าตนจะถูกจับกุม เขาอ้างว่าฟรุสซานติขังตัวเองอยู่สองสามวันในแมนชั่น ที่ซึ่งวงเรดฮอตชิลีเพปเปอส์ได้ทำการอัดเสียงอัลบั้ม Blood Sugar Sex Magik ในปี 1991 ริเชอร์ทกล่าวว่า จอห์นนี เดปป์ต้องคอยปลอบใจฟรุสซานติ และยืนยันกับเขาว่าจะไม่มีใครต้องติดคุก ซึ่งในขณะนั้นพ่อของฟินิกซ์โกรธที่ฟรุสซานติเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกชายของเขาเสียชีวิต จากในบทสัมภาษณ์กล่าวว่า "บอกเขาทีว่าถ้าผมเจอเขาเมื่อไหร่ ผมไม่เอาเขาไว้แน่ เขายังเด็กมากและรวยล้นเหลือ อายุ 23 เหมือนริเวอร์ แต่ติดยาอย่างหนักและยังกลายมาเป็นคนที่ชอบกดดันคนอื่น"[8]ครอบครัวฟินิกซ์ไม่เคยฟ้องร้องข้อกล่าวหาการเสียชีวิตของลูกชายกับใครทั้งสิ้น[57]

ในปี 2018 ซาแมนธา เมธิสกล่าวว่าตอนแรกเธอและฟินิกซ์ตั้งใจที่จะมาส่งน้องที่ไวเปอร์รูมระหว่างทางไปที่บ้านของเธอเท่านั้น แต่ฟินิกซ์ตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหลังจากถูกชวนขึ้นไปเล่นดนตรีกับวง เธอยืนยันว่าตลอดเวลาที่คบกัน เขามีอาการสร่างและมีสติอยู่ตลอด แต่ "ก่อนวันที่เขาจะเสียชีวิต 1 นั้น ฉันรู้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ฉันไม่เห็นใครเล่นยา (ในคืนนั้น) แต่เขามีอาการเมายาในแบบที่ทำให้ฉันไม่สบายใจ"[58] เธอเสริมอีกว่า "เฮโรอีนที่คร่าชีวิตเขาไม่ได้เกิดขึ้นจนกระทั่งเขาอยู่ที่ไวเปอร์รูม ฉันมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ฉันไม่เห็นอะไรเลย" เมธิสเดินไปห้องน้ำ และระหว่างทางกลับไปที่โต๊ะ เธอเห็นฟินิกซ์กำลังโต้เถียงกับใครบางคน คนเฝ้าคลับไล่ผู้ชายทั้งสองคนออกไปหน้าร้าน เมธิสตะโกนไปที่ผู้ชายอีกคน "พวกนายทำอะไรลงไป เล่น (ยา) อะไรอยู่" โดยถูกตอกกลับเพียงแค่ว่า "ปล่อยเขา (ริเวอร์) ไปเถอะน่า เธอกำลังทำให้อาการเคลิ้ม (ยา) ของเขาเสียเรื่อง" ถึงตอนนั้น จากคำพูดของเมธิส ฟินิกซ์ได้ล้มลงกับพื้นและเริ่มมีอาการชัก[59]

จากกิ๊บบี เฮย์นส์ กล่าวว่า พวกเขากำลังแสดงเพลง Michael Stipe ของวงในขณะที่ฟินิกซ์กำลังชักอยู่บนทางเท้านอกคลับ[60] เมื่อข่าวเข้ามาถึงข้างในคลับ ฟลีลงจากเวทีแล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอก ถึงตอนนั้นหน่วยกู้ชีพได้มาถึงจุดเกิดเหตุแล้ว และพบว่าริเวอร์เริ่มมีอาการเขียวคล้ำจากภาวะหัวใจหยุดเต้น (Full Cardiac Arrest) แบบหัวใจไม่บีบตัว (Asystole) [61] พวกเขาได้ทำการรักษาเพื่อที่จะพยายามยื้อชีวิตของเขาไว้

ในวันถัดมา ที่คลับได้กลายเป็นสถานที่ไว้อาลัย โดยแฟนคลับและบุคคลอื่นๆ ได้วางดอกไม้ รูปภาพ และเทียนไว้ที่ทางเท้า รวมไปถึงข้อความพ่นสีบนผนัง [62]ข้อความที่หน้าต่างอ่านได้ความว่า "ด้วยความนับถือและความรักเป็นอย่างยิ่งแด่ริเวอร์และครอบครัว เดอะ ไวเปอร์ รูมได้ทำการปิดสถานที่ชั่วคราว ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งแก่ครอบครัว เพื่อน และคนที่รัก เขาจะยังคงอยู่ในความทรงจำ"[63] คลับทำการปิดชั่วคราว 1 อาทิตย์ เดปป์ยังคงปิดคลับในวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปีจนกระทั่งเขาได้ขายหุ้นในส่วนของตัวเองไปในปี 2004[64]

ก่อนมรณกรรม ภาพลักษณ์ของฟินิกซ์ ตามที่มาจากในบทสัมภาษณ์ไว้อาลัยในภายหลังนั้น เป็นคนที่ปลอดการใช้สารเสพติดมาตลอด ส่วนหนึ่งเนื่องจากการอุทิศตนของเขาแก่สาธารณประโยชน์ ด้านสังคม การเมือง มนุษยธรรม และความสนใจด้านอาหาร ซึ่งในตอนนั้นนับว่ายังไม่เป็นที่นิยมมากนักในช่วงยุค 80 โดยผลลัพธ์คือ การเสียชีวิตของฟินิกซ์ได้ถูกนำขึ้นหน้าหนึ่งของสำนักข่าวหลายสำนัก[65] โดยนักเขียนผู้หนึ่งได้กล่าวถึงฟินิกซ์ไว้ว่าเป็น "เจมส์ ดีนมังสวิรัติ" และได้นำมาถูกเปรียบเทียบ โดยทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันคือเป็นนักแสดงหนุ่มชื่อดังผู้มีพรสวรรค์ ที่เสียชีวิตกะทันหันตั้งแต่อายุยังน้อย[66]

วันที่ 15 พฤศจิกายน 1993 ผลการชันสูตรพบว่า "จากการพิสูจน์ด้านพิษวิทยา แสดงถึงค่าความเข้มข้นของมอร์ฟีนและโคเคนในกระแสเลือดที่สูง และพบสารอื่นๆ ในความเข้มข้นที่ต่ำกว่า" สาเหตุการเสียชีวิตคือ "พิษจากยาหลายชนิดโดยเฉียบพลัน" รวมถึงโคเคนและมอร์ฟีน[67]

วันที่ 24 พฤศจิกายน 1993 อาร์ลิน (เปลี่ยนชื่อในภายหลังเป็น ฮาร์ท (Heart)) ฟินิกซ์ได้ตีพิมพ์จดหมายเปิดผนึกใน Los Angeles Times เกี่ยวกับชีวิตและความตายของลูกชายของเธอ ใจความส่วนหนึ่งว่า

เพื่อน เพื่อนร่วมงานของเขา และสมาชิกครอบครัวของเราทราบกันดีว่าริเวอร์ไม่ใช่คนที่ใช้สารเสพติดเป็นประจำ เขาอาศัยอยู่ที่บ้านในฟลอริดากับครอบครัวและแทบจะไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของ "ฉากในคลับ" ในลอส แอนเจลิสเลย เขาเพิ่งมาถึงแอลเอจากความงดงามอันบริสุทธิ์และความเงียบสงบของมลรัฐยูทาห์ ที่ซึ่งได้ถ่ายทำภาพยนตร์เป็นเวลาหกสัปดาห์ เรามีความรู้สึกว่าความตื่นเต้นและความรู้สึกของฮาโลวีน ไนท์คลับและการปาร์ตี้นั้นอยู่เหนือเกินกว่าประสบการณ์ส่วนตัวและการควบคุมของเขา กี่ชีวิตวัยเยาว์ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักแล้วต้องเสียไปจากการใช้สารเสพติด ฉันภาวนาว่าการจากไปแบบนี้ของริเวอร์ จะทำให้โลกหันมาเห็นว่า จิตวิญญาณของคนในรุ่นของเขาได้ถูกทำให้แตกสลายอย่างน่าเจ็บปวดแค่ไหน[68] ริเวอร์ทำให้เราประทับใจเหลือเกินในระหว่างที่เขามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เขาค้นพบเสียงและค้นพบที่ทางของตัวเอง และแม้แต่ริเวอร์ ผู้ซึ่งมีโลกที่พร้อมจะรับฟังเขาอยู่ที่ปลายนิ้วมือ ยังรู้สึกผิดหวังอย่างเหลือล้นที่ไม่มีใครรับฟัง ถ้าอย่างนั้นอะไรล่ะ เชียร์โนบีลไม่เพียงพอ เอ็กซอน วัลเดซไม่เพียงพอ สงครามนองเลือดเพื่อน้ำมันยังไม่เพียงพอ หากการจากไปของริเวอร์ได้ทำให้โลกของเราเปิดใจขึ้นบ้างแล้ว เช่นนั้นฉันขอกล่าวว่า ขอบคุณมากจ้ะ ลูกชายของแม่ สำหรับของขวัญอีกชิ้นแด่เราทุกคน[68]

งานเผาศพได้ถูกจัดขึ้นที่ Milam Funeral Home ในเมืองเกนส์วิลล์ มลรัฐฟลอริดา โดยเถ้าของฟินิกซ์ได้ถูกโปรยเหนือแม่น้ำในที่ดินของครอบครัวในมอนเตซูมา ประเทศคอสตาริกา ภายหลังมรณกรรม เพลงบันทึกเสียงและงานเขียนทั้งหมดของเขาตกเป็นของเรน น้องสาว[8]

"-- อ่อนไหวและหมกมุ่นกับสิ่งที่ทำ เขารู้สึกถึงสิ่งต่างๆ ในหัวใจอย่างบาดลึก" - เมธิส

"เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายคนหนึ่ง เด็กผู้ชายจิตใจดีมากๆ ที่ทำทุกอย่างพังไม่เป็นท่า และไม่รู้จะใช้เจตนาดีของเขาไปในทางที่ถูกต้องอย่างไร" - พลิมพ์ตัน[69]

ผลงานที่ยังไม่สมบูรณ์และงานที่ยังไม่ถ่ายทำ[70]

แก้

การจากไปอย่างกะทันหันของริเวอร์ทำให้เขาไม่สามารถถ่ายทำภาพยนตร์ในหลายบทบาทซึ่งผ่านการแคสติ้งแล้วได้:

" -- ผมคิดว่าเขาเคยเป็นคนที่ดีที่สุด...เป็น...เคยเป็น...เป็น คนที่ดีที่สุดในกลุ่มคน (นักแสดง) หนุ่มตอนนั้น ผมไม่ได้เริ่มมาพูดแค่ตอนนี้ ผมเคยพูดมาก่อนก่อนที่เขาจะเสีย เขามีอะไรบางที่ผมไม่เข้าใจ" - แบรด พิตต์ [78]

  • ฟินิกซ์ได้ตอบตกลงกับ กัส แวน แซนต์ ที่จะรับบท คลีฟ โจนส์ ใน Milk ในขณะที่วางแผนไว้ว่าจะเริ่มโปรเจกต์ในช่วงต้นของยุค 90 โดยบทบาทนั้นได้ถูกแสดงโดย เอมิล เฮิร์สช์ ในปี 2008 ในบทสัมภาษณ์จากนิตยสาร Interview "คุณจะทำภาพยนตร์ร่วมกับริเวอร์เกี่ยวกับแอนดี้ วอร์ฮอลใช่ไหม" กัสกล่าวว่า "ใช่ ริเวอร์ดูค่อนข้างเหมือนแอนดี้ในวัยหนุ่ม แต่โปรเจกต์นั้นก็ไม่เคยถูกสานต่อสักที"[80]
  • ในปี 1988 มีการรายงานว่าฟินิกซ์ได้ถือบทคัดลอกของบันทึกชีวประวัติ The Basketball Diaries เขาได้ยินมาว่าจะมีการถ่ายทำเป็นเวอร์ชันภาพยนตร์และต้องการเล่นบท จิม แครอลล์ ตัวภาพยนตร์ได้ถูกพับโครงการไปหลายครั้ง โดยมีริเวอร์อยู่ในรายชื่อผู้ที่น่าจะได้รับบทนำในแต่ละครั้งThe Basketball Diaries ได้ถ่ายทำในปี 1995 โดย ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ ได้รับบทนำ
  • ฟินิกซ์ได้ให้ความสนใจที่จะรับบท อาร์เธอร์ ริมบด์ กวีในยุคศตวรรษที่ 19 ในภาพยนตร์Total Eclipse (1995) โดยผู้กำกับชาวโปแลนด์ อักนีซกา ฮอลแลนด์ (Agnieszka Holland) ฟินิกซ์เสียชีวิตก่อนที่ภาพยนตร์จะเริ่มมีการแคสติ้ง โดยบทตกเป็นของลีโอนาร์โด ดิคาพริโอในเวลาต่อมา[81]
  • ฟินิกซ์เป็นตัวเลือกแรกของผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน เพื่อที่จะรับบท แจ๊ค ดอว์สัน ในช่วงของการคิดคอนเซปต์ภาพยนตร์ย้อนยุค Titanic (1997) คาเมรอนต้องการนักแสดงที่มีความเชี่ยวชาญและสเน่ห์ที่จะสามารถดึงความสนใจของผู้ชมในช่วงเวลาสอง - หรือสามชั่วโมงหากจำเป็นได้ อย่างไรก็ตาม การถ่ายทำได้เริ่มขึ้น 3 ปีให้หลังจากริเวอร์เสียชีวิต บทนั้นตกเป็นของลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ ผู้ซึ่งตอนนั้นมีอายุ 21 ปีพอดี[82][83]

มรดก

แก้

ในวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี แฟนคลับได้รวมตัวกันออกมาแสดงความชื่นชมและพูดถึงชีวิตของริเวอร์ในฐานะนักแสดง คำพูดของเขา "การแสดงก็เหมือนกับหน้ากากฮาโลวีนที่คุณสวมใส่"[84] ได้ถูกนำมากล่าวถึงอย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดีย นักแสดงชายผู้ซึ่งกล่าวถึงริเวอร์ในฐานะคนที่มีอิทธิพลสำคัญ รวมไปถึงเป็นคนที่ช่วยปูทางในอาชีพการแสดงนั้น รวมไปถึงลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ จาเรต เลโต เจมส์ ฟรังโก และอีกมากมาย[85]

ในงานประกาศรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมบนเวทีงานประกาศรางวัลออสการ์ (Academy Awards) ครั้งที่ 92 วาคีน ฟินิกซ์ได้กล่าวเป็นการให้เกียรติแก่พี่ชาย "ตอนที่เขาอายุ 17 พี่ชายของผม [ริเวอร์] ได้เขียนเนื้อเพลงท่อนนี้ที่กล่าวว่า: วิ่งเข้าไปช่วยชีวิตด้วยความรัก และความสงบจะตามมา ('Run to the rescue with love, and peace will follow.')"[86] วาคีนและรูนีย์ มาร่า ภรรยา ได้ตั้งชื่อลูกชายที่เกิดในเดือนกันยายน ปี 2020 ว่าริเวอร์ ฟินิกซ์ ตามชื่อของพี่ชาย[87]

วัฒนธรรมและสื่อ

แก้

จากนิตยสารโฟโต้บุค Lonely Boy ตีพิมพ์ในปี 1993 ได้มีบทความเป็นเกียรติแก่ริเวอร์โดย อากิมิ โยชิดะ ผู้สร้างการ์ตูนมังงะซีรีส์ Banana Fish (1985-1994) ซึ่ง ณ จุดหนึ่งของตัวเรื่อง เธอได้ใช้รูปลักษณ์และท่าทางของริเวอร์ เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวละครหลักของเธอ Ash Lynx

"วันที่ 31 ตุลาคม 1993 ได้กลายมาเป็นวันที่น่าจดจำโดยไม่รู้ลืม ใครจะจินตนาการว่าเขาจะจากไปเร็วถึงเพียงนี้ คำว่า ยูเซตสุ ('夭折': การจากไปก่อนวัยอันควรของผู้มีพรสวรรค์วัยเยาว์) นั้นเป็นคำที่ออกเสียงอย่างรู้สึกกินใจ ทว่าโหดร้ายเหลือเกินในความเป็นจริง ริเวอร์เป็นมังสวิรัติ และทุ่มเทในด้านการปกป้องสิ่งแวดล้อมด้วยแรงผลักดันอันน่าชื่นชม (อย่างไรก็ตาม) แอลกอฮอล์ ยาสูบและสารเสพติดได้คงคู่กับการมีอยู่ของเขา (ซึ่งเป็นสิ่งที่ดูขัดแย้งกัน) ราวกับความขัดแย้งนั้นไม่มีอยู่จริง มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน ถึงกระนั้น แสงของเขาจะไม่มีวันถูกบดบัง ...แม้ว่าเราจะไม่อาจพบเห็นเขาได้ในโลกของความจริงอีกต่อไป แต่เขาจะอยู่ในใจของฉันไปตลอดกาล และในจิตใจของคนที่รักเขาและมีเขาเป็นคนที่ช่วยเหลือเช่นกัน" - อากิมิ โยชิดะ: 9 พฤศจิกายน 1993[88][89]

รางวัลและการจัดอันดับ

แก้

ชื่อของฟินิกซ์ได้ถูกจัดอยู่ในอันดับหลายครั้งในรายการซึ่งมีพรสวรรค์และอาชีพด้านการแสดงที่เป็นที่น่าจดจำ เขาได้ถูกจัดอันดับเป็นหนึ่งใน 12 "นักแสดงที่คาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จปี 1986" ใน John Willis' Screen World (2004) ฟินิกซ์ถูกโหวตในอันดับ 64 ของรายชื่อ "นักแสดงยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล" โดยโทรทัศน์ Channel 4 ของสหราชอาณาจักร โดยผลโพลถูกโหวตจากบุคคลสำคัญในด้านการแสดงและกำกับภาพยนตร์ เขาถูกจัดอันดับในลำดับที่ 86 ในนิตยสาร Empire "100 นักแสดงตลอดกาล" ในปี 1997

เรื่องราวของชีวิตและการเสียชีวิตของเขาถูกนำมากล่าวใน E! True Hollywood Story, an A&E Biography และตอนสุดท้ายของรายการ Final 24 นอกจากนี้ยังถูกกล่าวถึงในฐานะ "เจมส์ ดีนของศตวรรษนี้" ในตอนที่ 10 ("Mi Casa, Su Casa Loma") ของซีซั่นแรกในรายการ Being Erica การเสียชีวิตของเขาถูกจัดอันดับเป็นลำดับที่ 16 ใน "101 เหตุการณ์ที่น่าตกใจที่สุดในวงการบันเทิง" โดย E! Television และในปี 2010 ฟินิกซ์ถูกโหวตโดย GQ Magazine ว่าเป็นหนึ่งใน "50 อันดับชายหนุ่มผู้มีสไตล์ที่สุดในครึ่งหลังของศตวรรษ"[90]

ผลงาน

แก้

ภาพยนตร์[70]

แก้
ปี เรื่อง บทบาท หมายเหตุ
1985 Explorers วูล์ฟกัง มูเอลเลอร์ (Wolfgang Müller) เข้าชิง – Young Artist Award for Exceptional Performance by a Young Actor – Motion Picture
1986 Stand by Me คริส แชมเบอร์ส (Chris Chambers) Jackie Coogan Award shared with Wil Wheaton, Corey Feldman and Jerry O'Connell
1986 The Mosquito Coast ชาร์ลี ฟอกซ์ (Charlie Fox) เข้าชิง – Young Artist Award for Best Young Male Superstar in Motion Pictures
1988 A Night in the Life of Jimmy Reardon จิมมี เรียร์ดอน (Jimmy Reardon)
1988 Little Nikita เจฟ แกรนท์ (Jeff Grant)
1988 Running on Empty แดนนี โป๊ป (Danny Pope) National Board of Review Award for Best Supporting Actor

เข้าชิง – Academy Award for Best Supporting Actor เข้าชิง – Golden Globe Award for Best Supporting Actor - Motion Picture

1989 Indiana Jones and the Last Crusade อินเดียน่า โจนส์ วัยเด็ก (Young Indiana Jones)
1990 I Love You to Death เดโว นอด (Devo Nod)
1991 Dogfight เอ็ดดี เบิร์ดเลซ (Eddie Birdlace)
1991 My Own Private Idaho ไมค์ วอเตอร์ส (Mike Waters) Independent Spirit Award for Best Male Lead

National Society of Film Critics Award for Best Actor Volpi Cup for Best Actor เข้าชิง – New York Film Critics Circle Award for Best Actor (2nd place)

1992 Sneakers คาร์ล อาร์โบกาสต์ (Carl Arbogast)
1993 The Thing Called Love เจมส์ ไรท์ (James Wright)
1994 Silent Tongue ทัลบอต โร (Talbot Roe) Posthumous release (หลังมรณกรรม)
2012 Dark Blood บอย (Boy) Posthumous release, (final film role) - ถ่ายทำปี 1993 (หลังมรณกรรม)

โทรทัศน์[70]

แก้
Year Title Role Notes
1982–1983 Seven Brides for Seven Brothers เกอธรี่ แมคแฟเดน (Guthrie McFadden) 21 ตอน

Young Artist Award for Best Young Actor in a Drama Series 1984 Nominated – Young Artist Award for Best Young Actor in a New Television Series 1982

1984 Celebrity เจฟฟีย์ ครอว์ฟอร์ด (Jeffie Crawford) (Age 11) มินิซีรีส์
1984 ABC Afterschool Special ไบรอัน เอลส์เวิร์ธ (Brian Ellsworth) ตอน: "Backwards: The Riddle of Dyslexia"

เข้าชิง – Young Artist Award for Best Young Actor in a Family Film Made for Television shared with Joaquin Phoenix

1984 It's Your Move ไบรอัน (Brian) ตอน: "Pilot"
1984 Hotel เควิน (Kevin) ตอน: "Transitions"
1985 Robert Kennedy & His Times โรเบิร์ต เคเนดี จูเนียร์ (Robert Kennedy, Jr.) (Part 3) มินิซีรีส์
1985 Family Ties ยูจีน ฟอร์บส์ (Eugene Forbes) ตอน: "My Tutor"
1985 Surviving: A Family in Crisis ฟิลิป โบรแกน (Philip Brogan) ภาพยนตร์โทรทัศน์

Young Artist Award for Best Young Actor Starring in a Television Special or Mini-Series

1986 Circle of Violence: A Family Drama คริส เบนฟิลด์ (Chris Benfield) ภาพยนตร์โทรทัศน์

มิวสิกวิดีโอ[70]

แก้
ปี เพลง ศิลปิน บทบาท
1986 "Stand by Me" เบน อี. คิง (Ben E. King) Himself
1992 "Breaking the Girl" เรดฮอตชิลีเพปเปอส์ (Red Hot Chili Peppers) Himself

ดูเพิ่ม

แก้
  • รอบ บรันเนอร์จาก Entertainment Weekly รายงานว่าการถ่ายทำภาพยนตร์ Dark Blood [91]เหลือเพียงการถ่ายทำในร่ม 11 วันในลอส แอนเจลิส ซึ่งโปรดิวเซอร์ โจแอนน์ เซลลาร์กล่าวว่าใช้เวลาประมาณ 3 อาทิตย์ [92]จากผู้กำกับ จอร์จ ซไลเซอร์ นักแสดงมีเวลาพัก 2 วันในระหว่างการก่อสร้างฉากในร่มให้แล้วเสร็จ[93] เซลลาร์กล่าวว่า ฟินิกซ์เสียชีวิตในเช้าวันใหม่วันแรกของการถ่ายทำ[92]
  • ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอกล่าวถึงคืนที่เขาเห็นฟินิกซ์ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในบทสัมภาษณ์ภาพยนตร์ Once Upon a Time in Hollywood[94]
  • "Oh where, oh where has my Juliet gone?'': คีอานู รีฟกล่าวถึงริเวอร์ในฐานะเพื่อนและเพื่อนร่วมงาน[95][96][97][98]

อ้างอิง

แก้
  • นิตยสารสตาร์พิกส์ ฉบับที่ 721 เดือนกุมภาพันธ์ หน้า 49
  1. 1.0 1.1 1.2 Rolling Stone. (October 22, 2013). "‘Last Night at the Viper Room’: The Life and Death of River Phoenix/ Exclusive excerpt from new book by Rolling Stone contributor Gavin Edwards". Rolling Stone. Retrieved January 31, 2021.
  2. "Chicago Sun-Times Archive Search Results". nl.newsbank.com. Retrieved December 5, 2020.
  3. 3.0 3.1 3.2 Levitt, Shelley; Benet, Lorenzo; Stambler, Lyndon; Dodd, Johnny; Stone, Joanna; Sider, Don (November 15, 1993). "River's End". People. 40 (20): 127–133. Retrieved July 4, 2014.
  4. Turner, Adrian (November 1, 1993). "Obituary: River Phoenix". The Independent. Retrieved May 26, 2018.
  5. Pfefferman, Naomi. "JewishJournal.com". JewishJournal.com. Retrieved August 24, 2010.
  6. "Ten American showbiz celebrities of Russian descent". Pravda.Ru. November 18, 2005. Retrieved August 24, 2010.
  7. 7.0 7.1 Corner, Lena (July 9, 2011). "Rain Phoenix's unusual childhood". The Guardian. Retrieved May 26, 2018.
  8. 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 8.6 8.7 8.8 Edwards, Gavin. (October 22, 2013). "Last Night at the Viper Room: River Phoenix and the Hollywood He Left Behind". Harper Collins. Retrieved January 31, 2021.
  9. 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 "Wasted: How on earth did River Phoenix, purest of all child stars, sensitive, clean-living and eco-friendly, end up dead from a drug overdose at the age of 23? เก็บถาวร 2013-07-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน". The Independent. December 5, 1993. Archived from the original on July 19, 2013. Retrieved July 22, 2013.
  10. "River Phoenix: the last film". The Guardian. September 28, 2012. Retrieved June 18, 2017.
  11. Corner, Lena (July 8, 2011). "Rain Phoenix's unusual childhood". The Guardian. Retrieved February 11, 2020.
  12. Friend, Tad. "River, with love and anger". Esquire. No. March 1, 1994.
  13. "Remembering River Phoenix, 23 Years After His Death". Vanity Fair. October 31, 2016. Retrieved August 28, 2018.
  14. News, A. B. C. "Gone Before 30: Stars Who Died Young". ABC News (ภาษาอังกฤษ). {{cite web}}: |last= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  15. 15.0 15.1 Hagen, Joe (November 2019). ""I Fucking Love My Life": Joaquin Phoenix on Joker, Why River Is His Rosebud, His Rooney Research, and His "Prenatal" Gift for Dark Characters". Vanity Fair. Retrieved November 5, 2019.
  16. 16.0 16.1 Freeman, Hadley (Oct 25, 2018). "The untold story of River Phoenix, 25 years after his death". The Irish Times. Retrieved January 30, 2021.
  17. "Rio's Attic – Timeline of a Phoenix เก็บถาวร 2012-02-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน". River-phoenix.org. Retrieved August 24, 2010.
  18. "Rio's Attic – Phoenix TV". River-phoenix.org. Retrieved August 24, 2010.
  19. "Rio's Attic – Phoenix TV เก็บถาวร 2012-02-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน". River-phoenix.org. Retrieved August 24, 2010.
  20. "Rio's Attic – Phoenix TV เก็บถาวร 2012-02-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน". River-phoenix.org. Retrieved August 24, 2010.
  21. "1986 - Stand by Me - Chris telling Gordie he's got a gift for writing (River Phoenix) - YouTube". www.youtube.com.
  22. "Rio's Attic – Phoenix TV". Chicago Tribune. March 27, 1988. Retrieved July 22, 2013.
  23. "Charlie Fox Scene Pack|| the mosquito coast - YouTube". www.youtube.com.
  24. 24.0 24.1 24.2 "Rio's Attic – Phoenix TV เก็บถาวร 2014-01-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน". Chicago Tribune. March 27, 1988. Retrieved July 22, 2013.
  25. 25.0 25.1 25.2 Friend, Tad (April 1994). "River, with love and anger". Esquire. Archived from the original on February 16, 2009. Retrieved July 22, 2013.
  26. "RUNNING ON EMPTY [1988] movie clip - the classroom scene - YouTube". www.youtube.com.
  27. 27.0 27.1 Heller, Karen. (November 4, 2018). "River Phoenix, who died 25 years ago, is grieved - but rarely celebrated". Sydney Morning Herald. Retrieved February 19, 2021.
  28. "Indiana Jones and the Last Crusade (1/10) Movie CLIP - Young Indy (1989) HD - YouTube". www.youtube.com.
  29. "Rio's Attic - Friends of a Phoenix". www.river-phoenix.org.[ลิงก์เสีย]
  30. "Devo Nod Scene Pack 720p | I Love You To Death - YouTube". www.youtube.com.
  31. "Dogfight (1991) Official Trailer - River Phoenix, Lili Taylor Drama Movie HD - YouTube". www.youtube.com.
  32. Ryan, Kyle (March 10, 2010). "Lili Taylor: Random Roles". The A.V. Club. Retrieved August 19, 2013.
  33. "Ten Things You Never Knew About 'Bill And Ted's Excellent Adventure'". thehollywoodnews.com. March 4, 2019. Retrieved March 13, 2019.
  34. "'Bill & Ted's Excellent Adventure' Movie Facts". pajiba.com. May 8, 2018. Retrieved March 13, 2019.
  35. 35.0 35.1 Boulanger, Gaz (January 10, 2018). "How Keanu Reeves And His Norton Convinced River Phoenix To Make My Own Private Idaho เก็บถาวร 2021-02-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน". Lifestyle. Retrieved January 31, 2021.
  36. Hughes, Justin (February 15, 2020). "Weekend WTF: Only Keanu Reeves Can Save Norton". RideApart. Retrieved February 18, 2021.
  37. Powell, Paige., & Sike, Gini. (September 28, 2011). "My Own Private Idaho". Interview Magazine. Retrieved January 31, 2021.
  38. 38.0 38.1 Schindehette, Susan; Stambler, Lyndon; Dodd, Johnny; Benet, Lorenzo; Stone, Joanna (January 17, 1994). "High Life เก็บถาวร 2012-03-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน". People. 41 (2). Retrieved July 4, 2014.
  39. "Rio's Attic - Friends of a Phoenix". www.river-phoenix.org.[ลิงก์เสีย]
  40. "Chainsaw »The Thing Called Love - YouTube". www.youtube.com.
  41. "The River Phoenix Pages". www.aleka.org.
  42. "Aleka's Attic". www.myriverphoenixcollection.com.
  43. "Entertainment: A decade without River Phoenix". BBC News. October 31, 2003. Retrieved August 24, 2010.
  44. Hall, Tony, ed. (1996). They Died Too Young: The Brief Lives and Tragic Deaths of the Mega-Star Legends of Our Times. Smithmark Pub. p. 76. ISBN 0-765-19600-X.
  45. Bogdanov, Vladimir; Woodstra, Chris; Erlewine, Stephen Thomas, eds. (2001). All Music Guide: The Definitive Guide to Popular Music. Hal Leonard Corporation. p. 920. ISBN 0-879-30627-0.
  46. "Lone Star State of Mine", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2021-01-12, สืบค้นเมื่อ 2021-01-31
  47. "The Vindicator – Google News Archive Search". Retrieved December 21, 2013.
  48. "Seventeen, April 1990". www.aleka.org.
  49. Lin, Summer (August 23, 2018). "REMEMBER WHEN RIVER PHOENIX BOUGHT ACRES OF RAINFOREST IN COSTA RICA? :ON WHAT WOULD HAVE BEEN THE ACTOR'S 48TH BIRTHDAY, CR LOOKS BACK ON HIS ACTIVISM เก็บถาวร 2021-01-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน". crfashionbook. Retrieved February 2, 2021.
  50. "Bill Clinton Rally". Myriverphoenixcollection.com. October 31, 1993. Retrieved August 28, 2018.
  51. "Actor River Phoenix dies". Associated Press. October 31, 1993. Retrieved February 8, 2015.
  52. Macnab, Geoffrey (September 27, 2012). "River Phoenix: the last film". The Guardian. Retrieved September 28, 2012.
  53. Davidson, Casey (November 12, 1993). "The Passing of River Phoenix: At the Scene". Charlie Sheen Central. EW.com. Retrieved on December 17, 2011.
  54. Kenneally, Tim (October 30, 2013). "River Phoenix's Final Moments Revealed in New Book: 'I Think I'm OD'ing'". The Wrap. Retrieved August 3, 2019.
  55. Connell, Rich; Hall, Carla (November 13, 1993). "Drug Overdose Killed Phoenix, Coroner Says". Los Angeles Times. Retrieved June 24, 2018.
  56. Remembering 1993 Gary Kirkland Gainesville Sun – December 26, 1993
  57. 57.0 57.1 Dunne, Jessica (October 4, 2018). "The Curious Death Of River Phoenix". Retrieved December 6, 2019.
  58. Alexander, Bryan (October 26, 2018). "River Phoenix's death: Samantha Mathis breaks silence about the tragic night 25 years ago". USA Today. Retrieved October 27, 2018.
  59. Freeman, Hadley (October 25, 2018). "The untold story of lost star River Phoenix – 25 years after his death". The Guardian. Retrieved October 25, 2018.
  60. "They Came from Hollywood". SPIN.com. Retrieved December 16, 2011.
  61. "Vasopressin ยืดชีวิตผู้ป่วย asystole ระหว่าง CPR". pharmacy.mahidol.ac.th.
  62. Braxton, Greg (November 9, 1993). "The Club Scene, Running on Full After Phoenix's Death, It's Business (Almost) as Usual at L.A. Hot Spots[ลิงก์เสีย]". Pqasb.pqarchiver.com. Retrieved August 24, 2010.
  63. Weinraub, Bernard (November 2, 1993). "Death of River Phoenix Jolts the Movie Industry". NYTimes.com. Retrieved August 24, 2010.
  64. "Johnny Depp – Depp Sells His Share of Viper Room – Contactmusic News". Contactmusic.com. Retrieved August 24, 2010.
  65. Spolar, Christine (November 14, 1993). "Autopsy Shatters Phoenix's Image". Chicago Sun-Times. The image of actor River Phoenix as a quiet, clean-cut member of Hollywood's youth fraternity has been shattered by autopsy results that showed he died from a mix of cocaine and heroin.
  66. Rouse, Rose (November 7, 1993). "Where were you when River Phoenix died?: The vegan James Dean is being mourned by teenagers from Ilkley to Bristol". The Independent. London. Retrieved December 16, 2011.
  67. Mydans, Seth (November 13, 1993). "Death of River Phoenix Is Linked To Use of Cocaine and Morphine". The New York Times. Retrieved March 1, 2014.
  68. 68.0 68.1 "A Mother's Note on Her Son's Life and Death". The Los Angeles Times. November 4, 1993. Retrieved July 22, 2013.
  69. Staff writers (October 26, 2018). "Phoenix’s ex reveals all about night he died". The Morning Bulletin. Retrieved February 18, 2021.
  70. 70.0 70.1 70.2 70.3 "River Phoenix", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2021-01-29, สืบค้นเมื่อ 2021-02-02
  71. Hayes, Britt (January 12, 2014). "See the Cast of 'Interview with the Vampire' Then and Now". Screen Crush. Townsquare Media, Inc. Retrieved August 1, 2018.
  72. Scott, Mike (September 24, 2011). "Brad Pitt says 'Interview with the Vampire' was a 'miserable' experience". The Times-Picayune. Retrieved November 30, 2016.
  73. Vera H-C Chan (September 15, 2011). "The Misery of Brad Pitt". Movies.yahoo.com. Retrieved December 16, 2011.
  74. 74.0 74.1 Gilbey, Ryan (November 5, 2003). "Ryan Gilbey on the legacy of River Phoenix | Film". The Guardian. London. Retrieved December 16, 2011.
  75. Grove, Lloyd (December 1999). "Plea For Christian Charity เก็บถาวร 2020-12-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน". Retrieved February 7, 2015.
  76. "Christian Slater – Slater's Mother Makes Emotional Appeal To Press". Contactmusic.com. Retrieved November 18, 2011.
  77. Christian Slater. Gadsden Times. November 18, 1993
  78. Heath, Chris (April 1994). "The Next Big Thing". Empire. Retrieved February 18, 2021.
  79. "Caleb Landry Jones Leading John Boorman's Resurrected 'Broken Dream'; John Hurt Takes Supporting Role เก็บถาวร 2019-04-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน". Retrieved July 3, 2012.
  80. "James Franco – Page". Interview Magazine. Archived from the original on August 22, 2010. Retrieved November 18, 2011. Only first page of four pages archived; Milk comment appears on non-archived page.
  81. "Total Eclipse (1996) - Leonardo DiCaprio: his career in pictures". Telegraph. Retrieved February 11, 2020.
  82. Sheldon, James."7 Movies That Might Have Starred River Phoenix เก็บถาวร 2021-01-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน". Goliath. Retrieved February 18, 2021.
  83. Johnson, Rachel M. (June 17, 2019). "30 Fascinating Facts About the Film "Titanic"". ReelRundown. Retrieved February 18, 2021.
  84. "River Phoenix".
  85. McDonald, Patrick Range (October 30, 2013). "How River Phoenix Inspired a Generation".
  86. Joaquin Phoenix wins Best Actor, สืบค้นเมื่อ 2021-02-19
  87. Guardian Film. (September 28, 2020). "Joaquin Phoenix and Rooney Mara name their baby son River". Guardian. Retrieved February 19, 2021.
  88. u/fujisima_sumire. (2020). "River Phoenix will remain in my heart forever(1993)". Reddit. Retrieved February 19, 2021.
  89. Bananafishlovers. "Banana Fish". Banana Fish. (2018)
  90. Chen et al. (March 4, 2010). "The 50 Most Stylish Leading Men of the Past Half Century". GQ. Retrieved February 19, 2021.
  91. Brunner, Rob (September 20, 2012). "River Phoenix's final film: An inside look at the strange saga of 'Dark Blood'". Entertainment Weekly, ew.com. Retrieved September 19, 2015.
  92. 92.0 92.1 De Winter, Helen (2006). "Take 8: JoAnne Sellar". "What I really want to do is produce ...": Top Producers Talk Movies and Money. London: Faber and Faber. p. 146. ISBN 9780571217441.
  93. Doense, Jan; Jones, Alan (March 1998). "Dutch Master of Suspense: George Sluizer". Cinefantastique. p. 30.
  94. Boucher, Ashley. (May 22, 2019). "Leonardo DiCaprio Saw River Phoenix on the Night He Died: 'He Disappeared in Front of My Very Eyes'". People. Retrieved February 18, 2021.
  95. Rebichon, Michael. (December, 1993). "KEANU REEVES, STATE OF GRACE". Retrieved February 19, 2021.
  96. Ziara. (August 28, 2016). "KEANU REEVES TALKING ABOUT RIVER PHOENIX AFTER HE DIED:". Tumblr. Retrieved February 19, 2021.
  97. Lisa, Aren’t you even gonna kiss me goodbye?. (October 17, 2015). "(Untitled)". Retrieved February 19, 2021.
  98. "River and Keanu". www.myriverphoenixcollection.com.