มารีโอ บาโลเตลลี
มารีโอ บาโลเตลลี บาร์วูอา (อิตาลี: Mario Balotelli Barwuah, เสียงอ่านภาษาอิตาลี: [ˈmaːrjo baloˈtɛlli])[5] นักฟุตบอลอาชีพชาวอิตาลี เล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า ปัจจุบันลงเล่นให้กับเจนัวในเซเรียอา
ข้อมูลส่วนตัว | |||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | มารีโอ บาโลเตลลี บาร์วูอา [1][2] | ||||||||||||||||||||||
วันเกิด | [3] | 12 สิงหาคม ค.ศ. 1990||||||||||||||||||||||
สถานที่เกิด | ปาแลร์โม อิตาลี | ||||||||||||||||||||||
ส่วนสูง | 1.89 m (6 ft 2 1⁄2 in)[4] | ||||||||||||||||||||||
ตำแหน่ง | กองหน้า | ||||||||||||||||||||||
ข้อมูลสโมสร | |||||||||||||||||||||||
สโมสรปัจจุบัน | เจนัว | ||||||||||||||||||||||
หมายเลข | 45 | ||||||||||||||||||||||
สโมสรเยาวชน | |||||||||||||||||||||||
2001–2006 | ลูเมซซาเน | ||||||||||||||||||||||
สโมสรอาชีพ* | |||||||||||||||||||||||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) | ||||||||||||||||||||
2006–2007 | ลูเมซซาเน | 2 | (0) | ||||||||||||||||||||
2007–2010 | อินแตร์นาซีโอนาเล | 59 | (20) | ||||||||||||||||||||
2010–2013 | แมนเชสเตอร์ซิตี | 54 | (20) | ||||||||||||||||||||
2013–2014 | มิลาน | 43 | (26) | ||||||||||||||||||||
2014–2016 | ลิเวอร์พูล | 16 | (1) | ||||||||||||||||||||
2015–2016 | → มิลาน (ยืมตัว) | 20 | (1) | ||||||||||||||||||||
2016–2019 | นิส | 61 | (33) | ||||||||||||||||||||
2019 | มาร์แซย์ | 15 | (8) | ||||||||||||||||||||
2019–2020 | เบรชชา | 19 | (5) | ||||||||||||||||||||
2020–2021 | มอนซา | 8 | (2) | ||||||||||||||||||||
2021– | อดานา เดมีร์สปอร์ | 33 | (18) | ||||||||||||||||||||
2022–2023 | ซิยง | 18 | (6) | ||||||||||||||||||||
2023–2024 | อดานา เดมีร์สปอร์ | 16 | (7) | ||||||||||||||||||||
2024– | เจนัว | 1 | (0) | ||||||||||||||||||||
ทีมชาติ‡ | |||||||||||||||||||||||
2008–2010 | อิตาลี อายุไม่เกิน 21 ปี | 15 | (5) | ||||||||||||||||||||
2010–2018 | อิตาลี | 36 | (14) | ||||||||||||||||||||
เกียรติประวัติ
| |||||||||||||||||||||||
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2021 ‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด ณ วันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 2014 |
บาโลเตลลี เกิดในประเทศอิตาลี โดยมีเชื้อสายกานา ครอบครัวมีฐานะยากจนมาก แถมมีปัญหาสุขภาพตั้งแต่เด็ก ทำให้พ่อและแม่ต้องตัดสินใจส่งให้กับผู้ที่มีฐานะร่ำรวยดูแลเมื่ออายุ 3 ขวบ [6] บาโลเตลลีเริ่มอาชีพในฐานะนักฟุตบอลอาชีพกับลูเมซซาเน และได้เล่นในทีมชุดใหญ่เพียง 2 ครั้ง เคยทดสอบฝีเท้ากับบาร์เซโลนา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จากนั้นได้ร่วมกับอินเตอร์มิลาน ในปี ค.ศ. 2007 โรแบร์โต มันชีนี ผู้จัดการทีมนำบาโลเตลลีเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ แต่เมื่อมันชีนีออกจากทีมไป วินัยของบาโลเตลลีก็แย่ลง บาโลเตลลีไม่ลงรอยกับโชเซ มูรีนโย ผู้ช่วยผู้จัดการทีม และในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 ก็ถูกพักออกไปจากทีมชุดใหญ่หลังมีปัญหาด้านวินัย ปัญหาเริ่มมากขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2010 เมื่อถูกวิจารณ์อย่างหนักจากแฟน ๆ อินเตอร์มิลาน เมื่อบาโลเตลลีออกรายการโทรทัศน์อิตาลีที่ชื่อ Striscia la Notizia โดยสวมเสื้อเอ.ซี. มิลาน สถานการณ์ในทีมของบาโลเตลลียังแย่ลงเรื่อย ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังได้ลงสนามเป็นครั้งคราว และสถานการณ์ก็มาเลวร้ายสุด ๆ เมื่อบาโลเตลลีโยนชุดอินเตอร์มิลานลงบนพื้น หลังจากถูกแฟนสโมสรโห่ในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในรอบรองชนะเลิศที่เสมอกับบาร์เซโลนา
เมื่ออนาคตกับอินเตอร์มิลานไม่แน่นอน บาโลเตลลีก็ได้รับการติดต่อจากมันชีนี อดีตผู้จัดการของอินเตอร์มิลานให้ย้ายไปร่วมกับแมนเชสเตอร์ซิตีในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ที่นั่นบาโลเตลลีได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าในช่วงปลายฤดูกาลมันชีนีก็ระบุว่า มาโลเตลลีเป็นนักฟุตบอลที่ไม่อาจจะควบคุมได้ และสั่งระงับการลงเล่นของบาโลเตลลีในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่พบกับเรอัลมาดริด ถึงขนาดมีข่าวลือว่าทั้งคู่เกือบจะชกต่อยกันในสนามฝึกซ้อม แต่มันชีนีก็ได้ปฏิเสธ[7] ต่อมาบาโลเตลลีได้ย้ายเล่นที่เอ.ซี. มิลาน ในอิตาลี ประเทศของตนเองอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ต้นฤดูกาล 2014-15 เมื่อลิเวอร์พูลได้ขอซื้อตัวบาโลเตลลีกลับไปยังพรีเมียร์ลีกอีกครั้งด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์ สัญญา 3 ปี[8] ทั้งที่สโมสรที่มีข่าวกับบาโลเตลลีมาอย่างต่อเนื่อง คือ อาร์เซนอล[9]
สโมสรอาชีพ
แก้อินเตอร์มิลาน
แก้บาโลเตลลีย้ายไป อินเตอร์ มิลาน ในปี 2006 โดยยืมตัวแบบเป็นเจ้าของร่วมกันในราคาเบื้องต้น 150,000 ยูโร
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2007 เขาเป็นส่วนหนึ่งของเกมที่พบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด โดยเป็นแมตช์ฉลองครบรอบ 150 ปีของเชฟฟิลด์ โดยเกมนั้นเขายิงไป 2 ลูก จากชัยชนะ 5-2
บาโลเตลลี่ได้ลงเล่นนัดแรกในเซเรีย อา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2007 แทนที่ ดาวิด ซัวโซ่ ในเกมที่ชนะ กายารี่ 2-0[10]
ในเดือน พฤศจิกายน 2008 บาโลเตลลี่ กลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุด ของอินเตอร์ มิลาน ที่ยิงประตูได้ ในรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก โดยซัดไป 1 เม็ด ในนัดเสมอ อนอร์โธซิส ฟามากัสต้า 3-3 ต่อมาเขาต้องถูกแฟนบอลยูเวนตุส ร้องเพลงตะโดนเหยียดสีผิว จนทำให้ยูเวนตุส ถูกแบนเกมในบ้านห้ามแฟนบอลเข้าสนามไป 1 เกม ทำให้จบฤดูกาลแรกของเขา พาอินเตอร์ คว้าแชมป์ลีก 4 สมัยซ้อน
ในซีซั่นที่ 2 เขาเริ่มมีปัญหาด้านพฤติกรรม โดยเฉพาะกับ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ตัดเขาออกจากทีมชุดใหญ่ ด้วยสาเหตุที่บาโลเตลลี่ซ้อมไม่มากพอเท่าผู้เล่นคนอื่นๆ ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักของเขากับมูรินโญ่ เกิดขึ้นอีก ในเกมเสมอ โรม่า 1-1 โดยผู้จัดการชาวโปรตุเกสบอกว่า "คะแนนความสามารถของบาโลเตลลี่เกือบจะเป็นศูนย์"[11]
จากนั้นวันที่ 5 ธันวาคม 2009 ในเกมที่แพ้ยูเวนตุส เมื่อเขาถูกเฟลิเป้ เมโล่ ตีศอกเข้าที่หัวไหล่ จนเกิดการทะเลาะกัน และ เมโล่ ถูกไล่ออกจากสนาม
ความขัดแย้งของเขากับมูรินโญ่ยิ่งทวีหนักขึ้น ในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกในเกมชนะ เชลซี 1-0 โดยบาโลเตลลี่หลุดจากทีมชุดใหญ่หลังทะเลาะกับผู้จัดการทีม[12]
ในเดือนมีนาคม 2010 เขาถูกแฟนๆ ของทีมวิจารณ์อย่างหนัก หลังเอาเสื้อของ เอซี มิลาน ไปใส่ออกรายการทางทีวี จนเขาต้องออกแถลงการณ์ขอโทษผ่านเว็บไซต์สโมสร ความเจ้าปัญหาของเขามาถึงจุดแตกหัก เมื่อเขาแสดงอาการไม่พอใจ โดยปาเสื้อทีมลงพื้น หลังถูกแฟน โห่ไล่ตลอดเวลาในสนาม จนทำให้ตกเป็นข่าวว่า บรรดาทีมในพรีเมียร์ ลีก อย่างแมน ยูไนเต็ด และ แมน ซิตี้ สนใจจะดึงตัวไปร่วมทีม[13]
แมนเชสเตอร์ซิตี
แก้ วันที่ 12 สิงหาคม 2010 บาโลเตลลี่ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ซิตี ด้วยค่าตัว 21.8 ล้านปอนด์ โดยเป็นการร่วมงานกันอีกครั้งกับเจ้านายเก่า โรแบร์โต้ มันชินี่ โดยเลือกสวมเบอร์ 45 ที่ขอมาจาก เกร็ก คันนิ่งแฮม[14]
วันที่ 19 สิงหาคม 2010 บาโลตลลี่ ลงประเดิมให้ทีม ในเกมบุกไปเยือนชนะ โปเลคติก้า ทิมิโซร่า 1-0 ในยูโรป้า ลีก จากนั้นวันที่ 24 ตุลาคม 2010 ก็เปิดซิงให้ทีมในเกมลีกทีแพ้อาร์เซนอลไป 3-0 ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม เข้าทำให้ทีมได้ 1 ประตู ในเกมเฉือนชนะ วูลฟ์แฮมป์ตัน ไป 2-1
วันที่ 21 ธันวาคม 2010 เขาได้รับรางวัล โกลเด้น บอย ซึ่งได้รับถัดจาก ลิโอเนล เมสซี่ ในปีก่อน โดยไม่วายแขวะว่า เขาไม่รู้จัก แจ็ค วิลเชียร์ ของสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล แต่อย่างใด
วันที่ 28 ธันวาคม 2010 เขาทำแฮตทริกครั้งแรกให้ทีม ในเกมถล่ม แอสตันวิลลา 4-0
วันที่ 14 พฤษภาคม 2011 เขากลายเป็นแมนออฟเดอะแมตช์ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่ชนะ สโต๊ค ซิตี้ ไป 1-0 เป็นโทรฟี่แรกของสโมสรในรอบ 35 ปี
2011-12
เขาประเดิมลูกแรกของฤดูกาล 2011-12 ในนัดที่ชนะ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ไป 2-0 ในถ้วยลีกคัพ
วันที่ 23 ตุลาคม 2011 เขากดสองลูก ในเกมถล่ม แมน ยูไนเต็ด คาสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด 6-1 จากนั้นได้ประเดิมเกมถ้วยยุโรปครั้งแรก ที่พบกับบียาร์รีล โดยซัดจุดโทษไป 1 ลูก
ต่อมาเขาถูกเอฟเอ แบนห้ามลงสนามไป 4 เกม หลังจากตั้งใจเตะใส่ สก็อต พาร์กเกอร์ ในเกมพบ สเปอร์ส
อย่างไรก็ตาม เขาถูกวิพากษ์อย่างหนัก ในจังหวะแย่งกันยิงฟรีคิกกับ อเล็กซานเดร์ โคลารอฟ จนมีปากเสียงกัน
วันที่ 8 เมษายน 2012 บาโลเตลลี่ ถูกแบนไปอีก 3 เกม หลังจากรับใบเหลืองไปอีก จากจังหวะไปปะทะกับ บาการี่ ซานญ่า ในเกมแพ้ อาร์เซนอล 1-0 จนมันชินี่ ต้องออกมาประกาศว่า จะให้โอกาสบาโลเตลลี่ เป็นครั้งสุดท้าย และพร้อมจะขายทิ้งหากมีปัญหาอีก ที่สุดแล้ว เขาจบซีซั่นนี้ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก นับตั้งแต่หนสุดท้ายเมื่อปี 1968[15]
2012-13
ในเดือน ธันวาคม 2012 เขามีปัญหาอีกครั้งจนถูกลงโทษปรับเงินค่าแรง 2 สัปดาห์ ในเรื่องความประพฤติ จนพลาดการเล่นไปอีก 11 เกม เพราะโทษแบน[16]
เอ.ซี. มิลาน
แก้ วันที่ 29 มกราคม 2013 เอซีมิลานประกาสคว้าตัวเขามาร่วมทีม ด้วยสัญญา 5 ปี มูลค่า 20 ล้านปอนด์ โดย มันชินี่ บอกว่า นี่คือเรื่องที่ถูกต้องที่เขาย้ายไป และสักวันเขาจะกลายเป็นนักเตะที่ดีสุดในโลก โดย บาโลเตลลี่ ยังเลือกสวมเบอร์ 45 ตามเดิม[17]
2012-13
วันที 3 มีนาคม 2013 บาโลเตลลี่ ประเดิมเหมาสองประตูให้ มิลาน ในเกมชนะ อูดิเนเซ่ 2-1 ต่อมาเขากดเบิ้ลได้อีก ในเกมเจอ ปาร์ม่า ซีซั่นนี้เขาโชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจมาก จบซีซั่นซัดไป 12 ลูก จาก 13 เกม และพาทีมคว้าโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ด้วย
2013-14
วันที่ 22 กันยายน 2013 เขาพลาดการทำจุดโทษเป็นครั้งแรก จากทั้งหมด 22 หน โดยถูกเซฟจาก เปเป เรน่า ในเกมแพ้ นาโปลี 2-1
โดยเกมที่ฮือฮาของเขาคือ เกมที่เสมอ ลิวอร์โน่ 2-2 เขายิงฟรีคิกจากระยะ 30 หลา ด้วยความแรง 109 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
2014-15
วันที่ 21 สิงหาคม 2014 มิลานได้ตกลงขายเขาให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์ โดยมีรายงานว่า เขาเตรียมออกจากมิลาน พร้อมร่ำลาทีมไว้เรียบร้อยแล้ว[18]
ลิเวอร์พูล
แก้ฤดูกาล 2014-15
แก้เอ.ซี. มิลาน
แก้ฤดูกาล 2015-16
แก้หลังจากไม่ประสบความสำเร็จที่ลิเวอร์พูล หลังสิ้นสุดฤดูกาล ในช่วงต้นฤดูกาลใหม่ บาโลเตลลีได้ย้ายกลับไปยังเอ.ซี. มิลาน อีกครั้ง ด้วยการยืมตัว ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ให้คำยืนยันว่าจะปรับปรุงพฤติกรรมตัวเองเสียใหม่[19]
ทีมชาติอิตาลี
แก้ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012
แก้วันที่ 10 มิถุนายน 2012 บาโลเตลลี่ กลายเป็นนักเตะผิวสีคนแรกที่ได้ลงสนามให้อิตาลีในทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ ในเกมที่เสมอ สเปน 1-1 โดยเป็นเกมที่เขาโชว์ฟอร์มได้ย่ำแย่
ต่อมา วันที่ 18 มิถุนายน 2012 เขาก็ทำประตูแรกในรายการนี้ได้ในเกมชนะ ไอร์แลนด์ 2-1 โดยจังหวะฉลองประตู เขาถูก เลโอนาโด้ โบนุชชี่ ปิดปากไว้ เนื่องจากกลัวจะสร้างปัญหาอะไรขึ้นมา[20]
ต่อมาเขาถูก เซซาเร่ ปรันเดลลี่ ดรอปไว้ข้างสนาม เนื่องจากโชว์ฟอร์มไม่ดี โดยไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การเหมาสองลูก พาทีมชนะ เยอรมนี ไป 2-1 ภายใน 40 นาทีแรกของเกม และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศ แม้ที่สุดจะได้แค่รองแชมป์หลังแพ้ สเปน 4-0 ก็ตาม[21]
ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก
แก้วันที่ 1 มิถุนายน 2014 บาโลเตลลี่ ถูกเลือกเป็น 23 ผู้เล่นทีมชาติอิตาลี ชุดลุยบอลโลก 2014 โดยนัดเปิดสนาม เขายิงประตูชัยให้ทีมชนะ อังกฤษ 2-1 แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาตกรอบแรกของรายการนี้[22]
ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ฟุตบอลโลก 2014
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สถิติ
แก้สโมสร
แก้สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | ฟุตบอลถ้วย | ลีกคัพ | ยุโรป | อื่น ๆ | รวม | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
Division | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ||
ลูเมซซาเน | 2005–06 | Serie C1 | 2 | 0 | — | 2 | 0 | |||||||
Total | 2 | 0 | — | 2 | 0 | |||||||||
อินเตอร์มิลาน | 2007–08 | เซเรียอา | 11 | 3 | 4 | 4 | — | 0 | 0 | 0 | 0 | 15 | 7 | |
2008–09 | 22 | 8 | 2 | 0 | 6 | 1 | 1 | 1 | 31 | 10 | ||||
2009–10 | 29 | 9 | 5 | 1 | 8 | 1 | 1 | 0 | 40 | 11 | ||||
Total | 59 | 20 | 11 | 5 | — | 14 | 2 | 2 | 1 | 86 | 28 | |||
แมนเชสเตอร์ซิตี | 2010–11 | พรีเมียร์ลีก | 17 | 6 | 5 | 1 | 0 | 0 | 6 | 3 | — | 28 | 10 | |
2011–12 | 23 | 13 | 0 | 0 | 2 | 1 | 6 | 3 | 1 | 0 | 32 | 17 | ||
2012–13 | 14 | 1 | 1 | 0 | 1 | 1 | 4 | 1 | 0 | 0 | 20 | 3 | ||
รวม | 54 | 20 | 6 | 1 | 3 | 2 | 16 | 7 | 1 | 0 | 80 | 30 | ||
มิลาน | 2012–13 | เซเรียอา | 13 | 12 | 0 | 0 | — | — | — | 13 | 12 | |||
2013–14 | 30 | 14 | 1 | 1 | 10 | 3 | 41 | 18 | ||||||
รวม | 43 | 26 | 1 | 1 | — | 10 | 3 | — | 54 | 30 | ||||
ลิเวอร์พูล | 2014–15 | พรีเมียร์ลีก | 16 | 1 | 4 | 0 | 3 | 1 | 5 | 2 | 0 | 0 | 28 | 4 |
รวม | 16 | 1 | 4 | 0 | 3 | 1 | 5 | 2 | 0 | 0 | 28 | 4 | ||
รวมทั้งหมด | 174 | 67 | 22 | 7 | 6 | 3 | 45 | 14 | 3 | 1 | 250 | 92 |
ทีมชาติ
แก้ทีมชาติ | ปี | ลงเล่น | ประตู |
---|---|---|---|
อิตาลี | 2010 | 2 | 0 |
2011 | 5 | 1 | |
2012 | 9 | 4 | |
2013 | 13 | 7 | |
2014 | 4 | 1 | |
2015 | 0 | 0 | |
2016 | 0 | 0 | |
2017 | 0 | 0 | |
2018 | 3 | 1 | |
ทั้งหมด | 36 | 14 |
ประตูในนามทีมชาติ
แก้- Scores and results list Italy's goal tally first.
# | Date | Venue | Opponent | Score | Result | Competition | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1. | 11 November 2011 | Stadion Miejski, Wrocław | โปแลนด์ | 1–0 | 2–0 | Friendly | ||||||
2. | 18 June 2012 | Municipal Stadium, Poznań | สาธารณรัฐไอร์แลนด์ | 2–0 | 2–0 | Euro 2012 | ||||||
3. | 28 June 2012 | National Stadium, Warsaw | เยอรมนี | 1–0 | 2–1 | Euro 2012 | ||||||
4. | 2–0 | |||||||||||
5. | 16 October 2012 | San Siro, Milan | เดนมาร์ก | 3–1 | 3–1 | 2014 World Cup qualifier | ||||||
6. | 21 March 2013 | Stade de Genève, Geneva | บราซิล | 2–2 | 2–2 | Friendly | ||||||
7. | 26 March 2013 | Ta' Qali National Stadium, Ta' Qali | มอลตา | 1–0 | 2–0 | 2014 World Cup qualifier | ||||||
8. | 2–0 | |||||||||||
9. | 16 June 2013 | Estádio do Maracanã, Rio de Janeiro | เม็กซิโก | 2–1 | 2–1 | 2013 FIFA Confederations Cup | ||||||
10. | 19 June 2013 | Arena Pernambuco, Recife, Brazil | ญี่ปุ่น | 3–2 | 4–3 | 2013 FIFA Confederations Cup | ||||||
11. | 10 September 2013 | Juventus Stadium, Turin, Italy | เช็กเกีย | 2–1 | 2–1 | 2014 World Cup qualifier | ||||||
12. | 15 October 2013 | Stadio San Paolo, Naples, Italy | อาร์มีเนีย | 2–2 | 2–2 | 2014 World Cup qualifier | ||||||
13. | 14 June 2014 | Arena Amazonia, Manaus, Brazil | อังกฤษ | 2–1 | 2–1 | 2014 World Cup | ||||||
|
เกียรติประวัติ
แก้สโมสร
แก้อินเตอร์มิลาน
- Serie A (3): 2007–08, 2008–09, 2009–10
- Coppa Italia (1): 2009–10
- Supercoppa Italiana (1): 2008
- UEFA Champions League (1): 2009–10
แมนเชสเตอร์ซิตี
- Premier League (1): 2011–12
- FA Cup (1): 2010–11
- FA Community Shield (1): 2012
ทีมชาติ
แก้- UEFA European Football Championship Runner up: 2012
- FIFA Confederations Cup Third place: 2013
รางวัลส่วนตัว
แก้- Golden Boy Award (1): 2010
- Serie A Team of the Year (1): 2012–13
- FA Cup Final Man of the Match (1): 2011
- UEFA Euro Team of the Tournament (1): 2012
อ้างอิง
แก้- ↑ "2014 FIFA World Cup Brazil List of Players" (PDF). fifa.com. Fédération Internationale de Football Association. 10 June 2014. p. 21. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (pdf)เมื่อ 2017-01-15. สืบค้นเมื่อ 25 July 2016.
- ↑ "Comunicato Ufficiale N. 210" [Official Communication No. 210] (PDF). legaseriea.it (ภาษาอิตาลี). Lega Serie A. 22 April 2016. p. 2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (pdf)เมื่อ 2016-08-27. สืบค้นเมื่อ 25 July 2016.
- ↑ "Mario Balotelli". Barry Hugman's Footballers. สืบค้นเมื่อ 2 January 2016.
- ↑ "Mario Balotelli". liverpoolfc.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-13. สืบค้นเมื่อ 9 September 2014.
- ↑ "Mario Balosas" (ภาษาอิตาลี). FC Internazionale Milano. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-12-12. สืบค้นเมื่อ 18 October 2008.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อบาโล
- ↑ "มันชินี่ปัดทะเลาะเกรียนโอ้". sport.thaiza.com. สืบค้นเมื่อ 30 August 2014.
- ↑ ""หงส์แดง" เปิดตัว "บาโลเตลลี"". now26.tv. 26 August 2014. สืบค้นเมื่อ 30 August 2014.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "'ปืนใหญ่' เล็งคว้า 'บาโลเตลลี' เสริมแนวรุกช่วงปิดฤดูกาล". ไทยรัฐ. 13 February 2014. สืบค้นเมื่อ 30 August 2014.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อลา
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
- ↑ Matches of M. Balotelli. soccerway.com. Retrieved 19 June 2013.