พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี
พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (เปอร์เซีย: محمد رضا شاه پهلوی; 26 ตุลาคม ค.ศ. 1919 – 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1980) เป็นชาห์แห่งอิหร่านรัชกาลสุดท้ายก่อนการปฏิวัติอิสลาม พระองค์ได้รับการขนานพระนามเป็น ชาฮันชาห์ (Shahanshah ราชันย์แห่งราชา[1] เทียบเท่าตำแหน่งจักรพรรดิ), อัรยาเมหร์ (Aryamehr แสงแห่งอารยัน) และ บอซอร์ก อาร์เตสตาราน (Bozorg Arteshtārān จอมทัพ[2], เปอร์เซีย:بزرگ ارتشتاران)
โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี | |||||
---|---|---|---|---|---|
พระบรมสาทิสลักษณ์อย่างเป็นทางการในปี 1973 | |||||
พระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน | |||||
ครองราชย์ | 16 กันยายน 1941 – 3 ธันวาคม ค.ศ. 1979 | ||||
ราชาภิเษก | 26 ตุลาคม 1967 | ||||
ก่อนหน้า | พระเจ้าชาห์ เรซา | ||||
ถัดไป | สิ้นสุดระบอบกษัตริย์ | ||||
ประสูติ | 26 ตุลาคม ค.ศ. 1919 เตหะราน ประเทศเปอร์เซีย | ||||
สวรรคต | 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1980 กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ | (60 ปี)||||
คู่อภิเษก | เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ (สมรส 1939; หย่า 1948) โซรยา อัสฟานดิยารี-บักติยารี (สมรส 1951; หย่า 1958) ฟาราห์ ดีบา (สมรส 1959) | ||||
พระราชบุตร | เจ้าหญิงชาห์นาซ มกุฎราชกุมารเรซา เจ้าหญิงฟาราห์นาซ เจ้าชายอาลี เรซา เจ้าหญิงไลลา | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | ปาห์ลาวี | ||||
พระราชบิดา | พระเจ้าชาห์ เรซา | ||||
พระราชมารดา | พระนางตาจญ์ อัล-โมลูก | ||||
ศาสนา | อิสลามชีอะฮ์ | ||||
ลายพระอภิไธย | |||||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||
ศิษย์เก่า | |||||
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |||||
รับใช้ | อิหร่าน | ||||
สังกัด | กองทัพบกจักรวรรดิอิหร่าน | ||||
ประจำการ | 1936–41 | ||||
ยศ | Captain | ||||
บังคับบัญชา | Army's Inspection Department | ||||
พระราชประวัติ
แก้พระราชประวัติตอนต้น
แก้พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระราชสมภพเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1919 ณ กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน พระองค์เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าชาห์ เรซา ปาห์ลาวี ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ปาห์ลาวี กับสมเด็จพระราชินีตาจ อัล-โมลูก ซึ่งเป็นพระภรรยาเจ้าคนที่สองของพระชนก โดยพระองค์มีพระพี่น้องร่วมพระมารดาอีกสามพระองค์ ได้แก่ พระเชษฐภคินีคือเจ้าหญิงชามส์ ปาห์ลาวี พระขนิษฐาฝาแฝดของพระองค์คือเจ้าหญิงอัชราฟ ปาห์ลาวี และมีพระอนุชาคือเจ้าชายอาลี เรซา ปาห์ลาวีที่ 1
นอกจากนี้พระองค์ยังมีพระเชษฐภคิณีต่างพระมารดา 1 พระองค์ คือ เจ้าหญิงฮัมดัมสุลตาเนห์ ปาห์ลาวี อนุชาและขนิษฐาต่างมารดาอีก 6 พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายโฆลาม ปาห์ลาวี, เจ้าชายอับดุล เรซา ปาห์ลาวี, เจ้าชายอะห์มัด เรซา ปาห์ลาวี, เจ้าชายมะห์มุด เรซา ปาห์ลาวี, เจ้าหญิงฟาเตเมห์ ปาห์ลาวี และเจ้าชายฮามิด เรซา ปาห์ลาวี
มกุฎราชกุมาร
แก้พระองค์ถูกประกาศเป็นมกุฎราชกุมารแห่งอิหร่านอย่างเป็นทางการ ขณะมีพระชันษาเพียง 6 ปี ประกอบกับช่วงเวลานั้น พระองค์ได้ทรงศึกษากับพระราชบิดาอย่างเข้มงวด จนในปี ค.ศ. 1931 พระองค์ได้ถูกส่งไปศึกษาต่อยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่โรงเรียนเลอโรซี (Le Rosey) ซึ่งโรงเรียนชายล้วน[3] พระองค์เป็นเด็กนักเรียนที่ดี แต่มีพระสหายไม่มาก[3] ด้วยความที่พระองค์เป็นเจ้าชาย พระองค์จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปยังเขตสนามของโรงเรียน[3] หลังจากนั้นพระองค์ได้เสด็จนิวัตกลับกรุงเตหะรานในปี ค.ศ. 1936 พระองค์ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนวิชาการทหารกรุงเตหะราน จนสำเร็จการศึกษาในปี ค.ศ. 1938 ทำให้พระองค์มีพัฒนาการและรักกีฬามากขึ้น[3] หลังจากสำเร็จการศึกษา พระองค์ก็อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ในปี ค.ศ. 1939[3]
ทรงราชย์
แก้สถานการณ์ก่อนการครองราชย์
แก้หลังจากความระส่ำระสายของราชวงศ์กอญัร เปอร์เซียได้ตกอยู่ภายใต้ของมหาอำนาจต่างประเทศ โดยเฉพาะรัสเซียและอังกฤษ[4] ตั้งแต่ในรัชสมัยของฟัฏอาลี ชาห์ ชาห์องค์ที่สองแห่งราชวงศ์กอญัร ได้ทำสงครามกับรัสเซียถึง 2 ครั้ง และต้องเสียดินแดนแถบเทือกเขาคอเคซัสทั้งหมด[5] แม้แต่ประเทศอังกฤษมีผลประโยชน์จำนวนมากในเปอร์เซียอย่างการขุดเจาะน้ำมันที่ขุดพบในคริสต์ศตวรรษที่ 19 วัฒนธรรมตะวันตกได้หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศจำนวนมาก[4] ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914 - 1918) เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของเปอร์เซีย เนื่องจากตกอยู่ภายใต้อำนาจของมหาอำนาจตะวันตกหลายประเทศ ทั้งรัสเซีย, อังกฤษ, ออตโตมัน, เยอรมัน และสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดกระแสต่อต้านที่กว้างขวางของประชาชนชาวเปอร์เซีย เพื่อปกป้องผลประโยชน์และเอกราชของประเทศ[4]
ท่ามกลางความระส่ำระสายทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน จนเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 เรซา ข่าน ผู้บัญชาการกองพันน้อยคอสแซคได้นำกองทัพบุกเข้าเมืองหลวงได้ยึดอำนาจและทำการรัฐประหาร[4] หลังการรัฐประหารพระเจ้าอะหมัด ชาห์ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์กอญัรได้แต่งตั้งนายตะบาตะบาอี เป็นนายกรัฐมนตรี และเรซา ข่าน เป็นนายกรัฐมนตรีกระทรวงสงคราม[4]
ในปีค.ศ. 1923 พระเจ้าอะหมัด ชาห์ได้เสด็จไปประทับในยุโรปและไม่ได้เสด็จนิวัติมายังอิหร่านเลย[6] เรซา ข่าน อดีตรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงคราม ได้ยึดอำนาจจากราชวงศ์กอญัรและประกอบพิธีราชาภิเษกเป็นกษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์ปาห์ลาวี เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1925[6] และได้เปลี่ยนชื่อประเทศจากเปอร์เซียเป็นอิหร่านอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1934[6]
ครองราชย์
แก้เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ประทุขึ้น กองทัพพันธมิตรจึงได้ตัดสินใจบุกอิหร่าน ซึ่งขณะนั้นอิหร่านมีความสัมพันธ์อันดีกับเยอรมนี[6] โดยกองทัพอังกฤษได้บุกยึดภาคใต้ของอิหร่าน และกองทัพรัสเซียได้เข้ายึดทางตอนเหนือของอิหร่าน ประเทศอิหร่านจึงถูกปกครองโดยกองทัพสัมพันธมิตร กษัตริย์เรซาจึงถูกบีบบังคับให้สละราชสมบัติ เพื่อให้พระโอรสองค์ใหญ่คือ โมฮัมหมัด เรซา ข่านขึ้นเป็นกษัตริย์แทน ประเทศอิหร่านหลังจากนั้นจึงมีความสัมพันธ์อันดีประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา[6]
พระราชกรณียกิจ
แก้ในปีค.ศ. 1942 อิหร่านได้สัญญาไตรมิตรกับอังกฤษและรัสเซีย โดย 2 ประเทศรับรองร่วมกันในการเคารพบูรณภาพในดินแดน อธิปไตย และเอกราชทางการเมืองของอิหร่าน[6] ประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้ถอนกำลังของตนออกจากอิหร่านเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1946 แต่กองทหารโซเวียตยังคงอยู่[6] อิหร่านจึงได้ร้องเรียนต่อสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โซเวียตจึงยอมถอนทหารออกไปในเดือนพฤษภาคมในปีเดียวกัน[6]
ในปีค.ศ. 1951 เป็นช่วงเวลาที่ประชาชนอิหร่านกำลังตื่นตัวเรื่องชาตินิยม ในพฤษภาคมปีเดียวกันนั้นเอง ดร.มุฮัมหมัด มูซัดเดก ผู้นำคนหนึ่งในขบวนการชาตินิยมอิหร่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี[6] หลังจากนั้นนายมูซัดเดกได้ดำเนินการยึดบริษัทน้ำมันแองโกล-อิหร่านออยล์ซึ่งเป็นของอังกฤษเป็นของรัฐ[6] ทำให้ต่างชาติมีมาตรการตอบโต้บอยคอตน้ำมันอิหร่าน[7] ในวันที่ 22 ตุลาคมปีเดียวกัน รัฐบาลอิหร่านได้ประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับอังกฤษ ขณะเดียวกันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มปั่นป่วน และเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว และเกิดความวุ่นวายมากขึ้น[7]
เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1953 ชาห์และราชินีได้เสด็จออกนอกประเทศ 3 วันหลังจากนั้นนายพลซาเฮดีประกาศตนเป็นนายกรัฐมนตรี[7] และเข้าควบคุมอำนาจมูซัดเดก และคณะรัฐบาลของเขาถูกจับกุม ชาห์เสด็จกลับอิหร่านและทำการแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีนโยบายนิยมตะวันตก[7] อิหร่านได้ทำการเปิดสัมพันธไมตรีกับการทูตกับอังกฤษใหม่อีกครั้ง และมีการเจรจาตกลงกับบริษัทน้ำมันอังกฤษและสหรัฐอเมริกา[7] และนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 เป็นต้นมา พระเจ้าชาห์ได้เริ่มมีบทบาทในการบริหารประเทศมากขึ้น และพาประเทศเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์[7]
การปฏิวัติขาว
แก้ในปีค.ศ. 1963 ชาห์ได้เริ่มโครงการสำคัญหลายอย่างเพื่อพัฒนาอิหร่านให้ก้าวหน้า อาทิเช่น การปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูปการเลือกตั้ง การให้สิทธิแก่สตรี การตั้งหน่วยการศึกษา การจัดตั้งหน่วยอนามัย การพัฒนาการเกษตร การโอนป่าเป็นของรัฐเป็นต้น ซึ่งรัฐบาลอิหร่านเรียกโครงการเหล่านี้ว่า "การปฏิวัติขาว" เพราะเป็นการปฏิวัติที่ไม่เสียเลือดเนื้อ[7] ซึ่งนโยบายนี้เป็นนโยบายที่ได้รับแนวคิดมาจากรัฐบาลอเมริกายุคจอห์น เอฟ. เคนเนดี ซึ่งต้องการให้รัฐบาลอิหร่านมีฐานอำนาจที่กว้างขึ้น มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมมากขึ้น และมีคอรัปชั่นน้อยกว่ายุคปี 1950 ที่ผ่านมา[8] นโยบายนี้ใช้วิธีสร้างประชานิยมโดยการปฏิรูปที่ดินเป็นหลัก โดยให้ ดร.ฮัสซัน อาร์ซันจานี (Dr. Hassan Arsanjani) และรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรเป็นผู้เริ่มต้น แต่พอทำไปแล้ว ทั้งสองคนได้รับความนิยมสูงมาก ชาห์จึงทรงปลด ดร. อาร์ซานจานิ ออกจากตำแหน่ง[8] และทรงถือเป็นพระราชกรณียกิจของพระองค์เอง[8] ชาห์ได้ทรงปรับโครงการปฏิรูปที่ดินที่ริเริ่มโดย ดร. อาร์ซานจานิ ใหม่โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างประชานิยมในพระองค์เองรวมทั้งรัฐบาลของพระองค์ การปรับใหม่นี้มีโครงการที่เสนอรวม 6 โปรแกรมด้วยกัน ซึ่งเรียกว่าการปฏิวัติขาว ได้แก่[8]
- ให้มีการปฏิรูปที่ดิน
- ขายโรงงานที่รัฐบาลเป็นเจ้าของเพื่อนำเงินมาปฏิรูปที่ดิน
- ออกกฎหมายเลือกตั้งใหม่ที่ให้สิทธิสตรีในการออกเสียง
- จัดให้ป่าไม้เป็นสมบัติของชาติ
- ตั้งองค์กรเพื่อการอ่านออกเขียนได้โดยเฉพาะเพื่อการสอนหนังสือในชนบท
- ร่างแผนการในการให้คนงานมีส่วนแบ่งในผลกำไรจากอุตสาหกรรม
การทำประชาพิจารณ์เพื่อขอความเห็นชอบในโครงการ 6 ข้อนี้ ได้รับการบอยคอตจากกลุ่มแนวร่วมแห่งชาติ (National Front) เพราะต้องการให้การตัดสินใจในแผนการดังกล่าวซึ่งส่งผลกระทบสูงต่อชาติ ให้เป็นการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งมาอย่างเสรี ความขัดแย้งเรื่องนี้รุนแรงเพิ่มขึ้น จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1963 หลังปราศรัยโจมตีรัฐบาล ท่านโคมัยนีก็ถูกจับไปขังคุกที่กรุงเตหะราน[8] ผลของการจับโคมัยนีทำให้ประชาชนโกรธแค้นมาก และพากันออกมาเดินขบวนเต็มไปหมดในถนนทุกสาย เหตุการณ์ต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยอายะตุลลอฮ์โคมัยนี ลุกลามรุนแรงถึงขั้นนองเลือด จนกลายเป็นจุดหักมุมของประวัติศาสตร์อิหร่านที่สำคัญและเป็นรู้จักกันไปทั่วโลกว่า “เหตุการณ์ลุกฮือ 15 กอร์ดัด 1342" (15 Khordad 1342 uprising) ซึ่งเป็นวันเดือนปีอิสลาม หนังสือพิมพ์ต่างประเทศบางฉบับลงข่าวว่า ทหารของชาห์ สาดกระสุนเข้าสังหารผู้ประท้วงคราวนั้น ทำให้คนเสียชีวิตถึง 15,000 คน[8] แรงกดดันจากประชาชนทำให้โคมัยนีได้รับการปล่อยตัว แต่ท่านก็ยังไม่ยอมเลิกต่อต้านนโยบายของชาห์ จนทำให้ถูกทหารจับตัวอีกครั้ง รัฐบาลตัดสินใจเนรเทศโคมัยนีออกนอกประเทศในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1964[7] โดยให้ไปอยู่ตุรกี และต่อมาย้ายไปอยู่เมืองนาจาฟในอิรัก รวมเป็นเวลาถึง 13 ปี โดยหวังว่าจะทำให้ความนิยมในตัวโคมัยนีจางหายไป[8]
จุดจบของระบอบชาห์
แก้การประท้วงต่อต้านชาห์
แก้แต่การถูกเนรเทศไปอยู่อิรักครั้งนี้ แต่ก็ไม่ทำให้ประชาชนลืมบุรุษที่มีนามว่า อยาตุลเลาะห์ โคมัยนีได้เลย เขายังติดต่อกับนักศึกษาประชาชนอยู่ตลอด และมีการให้ความคิดเห็นต่อต้านการทำงานของรัฐบาลอยู่บ่อยครั้ง การเมืองในอิหร่านเองก็ยังไม่นิ่ง นักศึกษาประชาชนยังชุมนุมระลึกถึงเหตุการณ์ 15 กอร์ดัด 1342 ทุกปี[8] จนในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1978 หนังสือพิมพ์อิตติลาอัต (Ittila’at) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์กระบอกเสียงของรัฐบาล ประณามโคมัยนีว่า เป็นผู้ทรยศต่อชาติ เรื่องนี้ทำให้วันต่อมานักศึกษาและประชาชนในเมืองกุม (Qom) ซึ่งเป็นเมืองที่โคมัยนีเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็ก ได้ออกมาประท้วงรัฐบาลอย่างรุนแรง[8] การปราบปรามการประท้วงนี้ทำให้สูญเสียชีวิตมากมายอีกครั้ง กลายเป็นแรงกระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติอย่างต่อเนื่องตลอดปี โดยมีเป้าหมายเพื่อขับไล่ชาห์และราชวงศ์ปาห์ลาวีออกจากราชบัลลังก์ และให้สถาปนารัฐบาลอิสลามขึ้นแทน[8]
แม้ว่าโครงการของชาห์จะได้รับการยอมรับในระยะแรก ซึ่งทำให้อิหร่านเจริญขึ้น แต่ก็ทำให้ประชาชนไม่พอใจ และลุกฮือต่อต้านชาห์[9] เนื่องจากผลจากการปฏิวัติขาว คือ คนในราชวงศ์และข้าราชบริพารใกล้ชิดได้รับที่ดินมหาศาล การมาของ บาร์ ไนต์คลับ หนังสือโป๊หลั่งไหลเข้ามา ทำให้ฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายศาสนาไม่พอใจอย่างยิ่ง[10] นอกจากนี้ผลประโยชน์จากการพัฒนาประเทศกลับตกอยู่ในตระกูลคนรวยเพียงไม่กี่ตระกูล รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์และเชื้อพระวงศ์ของชาห์กลับมีธุรกิจและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่[10] บรรดาบริษัทต่างชาติต่างก็เชื้อเชิญพระราชวงศ์และข้าราชบริพารชั้นสูงที่มีอำนาจการเมืองและการทหารเข้าเป็นคณะกรรมการในบริษัทของตนด้วย[10] ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างชนชั้น แต่ชาวอิหร่านส่วนใหญ่กลับมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากไร้การศึกษา อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ขาดแคลนยารักษาโรค รวมไปถึงนโยบายของชาห์ที่ทรงสนับสนุนชาติอิสราเอลด้วย[10]
ด้วยเหตุที่ประชาชนต่อต้านนโนบายของพระองค์ ชาห์จึงตั้งตำรวจลับ "ซาวัค" โดยทำหน้าที่คล้ายตำรวจเกสตาโปของเยอรมนี[10] คอยแทรกซึมในวงการต่าง ๆ เพื่อจับกุมฝ่ายตรงข้ามของพระองค์ โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนนักศึกษา อาจารย์ นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์[10] ซาวัคขึ้นชื่อในการจับกุม และทรมานอย่างทารุณ เป็นที่หวาดกลัวของประชาชน แต่ก็ไม่อาจปิดกั้นการเดินขบวนประท้วงที่เกิดในเวลาต่อมาได้[10]
การปฏิวัติอิสลาม
แก้ความไม่พอใจของประชาชนเริ่มถึงจุดระเบิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1978 ซึ่งตรงกับเดือนรอมฎอน ได้เกิดเหตุไฟไหม้รุนแรงในโรงภาพยนตร์ที่เมืองอะบาดาน มีผู้เสียชีวิต 387 คน[10] รัฐบาลได้ออกข่าวว่าพวกศาสนานิยมหัวรุนแรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทว่าเมื่อตำรวจไม่สามารถหาผู้กระทำผิดได้ก็ทำให้ประชาชนเคียดแค้นรัฐบาล และเกิดการประท้วงตามเมืองต่าง ๆ[11] ส่วนคู่ปรับของชาห์คืออยาตุลเลาะห์ โคมัยนี แม้จะถูกเนรเทศไปยังประเทศอิรัก 12 ปี และภายหลังถูกรัฐบาลอิรักขอร้องให้ออกไปนอกประเทศ โคมัยนีจึงได้อพยพไปอยู่ฝรั่งเศส[11] แต่โคมัยนีก็ใช้การอัดเสียงใส่เทปคาสเซตได้ทำการอัดซ้ำและทำการเผยแพร่แก่นักศึกษาประชาชน และลุกลามถึงนักศึกษาอิหร่านในต่างประเทศด้วย[11]
หลังโศกนาฏกรรมที่เมืองอะบาดาน ประชาชนในเตหะรานได้รวมกันประท้วงชาห์ เผาธงชาติ ถือป้ายข้อความ "แยงกี้ โกโฮม" "ชาห์ต้องลาออก" และ "โคมัยนีต้องปกครองอิหร่าน" มีสตรีแต่งกายด้วยชุดดำสวมคลุมศีรษะจำนวนมาเข้าร่วมขบวนด้วย[11] ขบวนได้ปะทะกับทหาร ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บหลายคน[11] หลังจากเหตุการณ์นี้ ก็เกิดเหตุการณ์ประท้วงระลอกแล้วระลอกเล่าตามหัวเมืองอื่น กรรมกรนับแสนคนนัดหยุดงาน พนักงานรัฐวิสาหกิจ บรรดาครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา ต่างเข้าร่วมกันประท้วง[11] โคมัยนีเองแม้จะอยู่ต่างประเทศ แต่ก็ได้เรียกร้องให้มุสลิมทั่วโลกหันมาสนใจการต่อสู้ของประชาชนชาวอิหร่าน โดยได้กล่าวในระหว่างฤดูกาลประกอบพิธีฮัจญ์ มีใจความตอนหนึ่งว่า
ชาห์ได้ยกทรัพยากรธรรมชาติ และผลประโยชน์ที่ประชากรพึงมีพึงได้ให้แก่ชาวต่างชาติจนหมดสิ้น ชาห์ยกน้ำมันให้อเมริกา ยกก๊าซธรรมชาติให้โซเวียต ทุ่งเลี้ยงสัตว์ ป่า และน้ำมันส่วนหนึ่งให้อังกฤษ โดยปล่อยให้ประชาชนอยู่ในความล้าหลัง
— อยาตุลเลาะห์ โคมัยนี[11]
การประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1978 ซึ่งเป็นวันรำลึกถึงการเสียชีวิตของอิหม่ามฮุเซน วันนั้นประชาชนนับล้านได้ออกมาชุมนุมกันบนท้องถนนและที่สาธารณะ มีการชูรูปโคมัยนี มีการตะโกนด่าทออเมริกา และเรียกร้องรัฐอิสลาม[11]
การประท้วงใหญ่เกิดขึ้นอีกที่เมืองมาชาดมีการลุกฮือเผาบ้านของชาวอเมริกัน ตลอดจนกิจการต่าง ๆ ของชาวตะวันตก[12] ทหารได้สกัดกั้นและทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายนับร้อย เหตุการณ์ลุกลามใหญ่โตจนรัฐบาลอเมริกา และยุโรปสั่งให้คนของตนออกจากอิหร่าน[12] ความตึงเครียดที่กดดันทำให้ชาห์ทำตามคำแนะนำของอเมริกา โดยการเสด็จออกนอกประเทศพร้อมครอบครัว เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1979[12][13] โดยที่รัฐบาลของนายชาห์ปูร์ บัคเตียร์ ได้ออกประกาศว่า พระองค์มิได้สละบัลลังก์แต่อย่างใด[12] และแล้วในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ โคมัยนีพร้อมผู้ช่วยราว 500 คน และนักหนังสือพิมพ์อีก 150 คน ได้โดยสารเครื่องบินโบอิ้ง 747 ของสายการบินฝรั่งเศสกลับสู่อิหร่าน โดยมีประชาชนต้อนรับอย่างเนืองแน่น แม้ระยะแรกกองทัพบกประกาศว่าพร้อมหลั่งเลือดเพื่อค้ำบัลลังก์ชาห์[12] หรือหนุนรัฐบาลนายบัคเตียร์ ภายหลังกองทัพบกได้วางตัวเป็นกลาง[12] ประชาชนฝ่ายโคมัยนีจึงได้เข้าควบคุมเตหะรานไว้ได้โดยบุกยึดที่ทำการรัฐบาล กระทรวงทบวงกรม ตึกรัฐสภา และสถานีตำรวจไว้ได้หมด[12]
ต่อมารัฐบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจากโคมัยนีก็เข้ารับหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศ และนำอิหร่านเข้าสู่การปกครองของรัฐอิสลามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[14] โดยมีผู้นำสูงสุดคือ อิหม่ามโคมัยนี เรียกว่า ฟากิฮ์ หรือ รอฮ์บัรร์ ถือเป็นผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณมีอำนาจครอบคลุมทั้งการเมืองและการปกครองทั้งหมด[14]
ชีวิตส่วนพระองค์
แก้พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี ทรงอภิเษกทั้งหมด 3 ครั้ง[15] มีพระโอรส-ธิดา 5 พระองค์ โดยเป็นพระโอรส 2 พระองค์ พระธิดา 3 พระองค์ ได้แก่
เฟาซียะห์แห่งอียิปต์
แก้เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ ประสูติเมื่อ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1921 พระราชธิดาในพระเจ้าฟูอัดที่ 1 แห่งอียิปต์ กับสมเด็จพระราชินีนาซลีแห่งอียิปต์ และพระราชขนิษฐาในพระเจ้าฟารุกที่ 1 แห่งอียิปต์ ชาห์ได้อภิเษกกับเจ้าหญิงเฟาซียะห์เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1939 ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ และอภิเษกสมรสอีกครั้งที่กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน สองปีต่อมามกุฎราชกุมารแห่งอิหร่านก็เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแห่งอิหร่านต่อจากพระราชบิดา เจ้าหญิงเฟาซียะห์จึงดำรงพระอิสริยยศเป็นราชินีแห่งอิหร่าน
พระราชินีเฟาซียะห์ทรงเป็นนางแบบให้เซซิล บีตัน ถ่ายพระฉายาลักษณ์เพื่อตีพิมพ์ลงในนิตยสารไลฟ์ (Life) โดยนายเซซิล บีตันได้กล่าวชื่นชมพระราชินีองค์นี้ว่าทรงเป็น "เทพธิดาวีนัสแห่งเอเชีย" ทั้งยังเสริมว่า "มีพระพักตร์รูปหัวใจคมซีดเผือดผิดปกติ แต่มีดวงพระเนตรสีฟ้าอันเฉียบคม" และด้วยความที่เป็นสตรีที่ทรงพระสิริโฉมจึงถือว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่สวยที่สุดในโลกในขณะนั้น[16] ชาห์และพระราชินีเฟาซียะห์มีพระราชธิดาด้วยกัน 1 พระองค์ คือ เจ้าหญิงชาห์นาซ ปาห์ลาวี ซึ่งประสูติเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1940 แต่ความรักของทั้งสองกลับถึงทางตัน ภายหลังชาห์และพระราชินีเฟาซียะห์ได้ทรงหย่ากันอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1945 ที่ประเทศอียิปต์ และในปี ค.ศ. 1948 ที่ประเทศอิหร่าน โดยทางสำนักพระราชวังให้เหตุผลว่า "ด้วยสภาวะอากาศของเปอร์เซียทำให้สุขภาพของราชินีเฟาซียะห์ทรุดโทรม ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับพระขนิษฐากษัตริย์อียิปต์ที่ต้องการจะหย่า" และชาห์ก็ออกมาประกาศว่า "ไม่มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีที่มีอยู่ระหว่างอียิปต์กับอิหร่าน"[17] หลังจากการหย่าสมเด็จพระราชินีเฟาซียะห์ได้กลับได้ไปใช้พระอิสริยยศ เจ้าหญิงแห่งอียิปต์และซูดาน ตามเดิม ภายหลังเจ้าหญิงได้เสกสมรสกับอิสมาอิล ฮุสเซน ชีรีน และมีพระโอรส-ธิดา 2 องค์
โซรยา อัสฟานดียารี
แก้ชาห์ทรงอภิเษกสมรสครั้งที่สองกับสตรีสามัญชน นามว่านางสาวโซรยา อัสฟานดียารี-บักติยารี ประสูติเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1932 ณ โรงพยาบาลมิชชันนารีอังกฤษ เมืองอิสฟาฮาน[18] เป็นธิดาของนายคาลิล อัสฟานดิยารี และนางอีวา คาร์ล โดยบิดาของเธอเป็นอดีตเอกอัครราชทูตอิหร่านประจำประเทศเยอรมันตะวันตก และเป็นชาวอิหร่านเชื้อสายเผ่าบักติยารี[18] ส่วนมารดาเป็นชาวรัสเซียสัญชาติเยอรมัน โดยเธอเป็นญาติของซาดาร์ อาซาด ซึ่งเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวในรัฐธรรมนูญอิหร่านแห่งศตวรรษที่ 20[19] โซรยาได้รู้จักกับชาห์ จากการแนะนำของนางฟารุฆ ซาฟาร์ บักติยารี[18] ขณะที่โซรยายังศึกษาอยู่ในโรงเรียนฟินนิชิง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์[19] โดยทั้งคู่ได้ทำการหมั้นกัน โดยของหมั้นในงานนี้คือแหวนเพชร 22.37 กะรัต[20] ชาห์และโซรยาได้อภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951 ณ พระราชวังโกเลสตาน (Golestan Palace) กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน[15] ซึ่งเดิมทั้งสองมีแผนที่จะจัดงานอภิเษกสมรสในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1950 แต่พิธีได้ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากโซรยาได้ล้มป่วยลง[21]
แต่ด้วยโซรยาไม่สามารถทำหน้าที่ให้กำเนิดรัชทายาทได้ โดยชาห์ทรงตรัสเรื่องนี้เป็นนัย เธอพยายามรักษาตามสถานพยาบาลต่างๆ แต่ก็ตระหนักดีว่าเธอจะไม่สามารถให้กำเนิดรัชทายาทได้ เธอจึงตัดสินใจหย่ากับชาห์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1958 และขณะนั้นชาห์ได้ให้ความสนพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับกับเจ้าหญิงมารีอา กาเบรียลลาแห่งซาวอย และพระราชธิดาของสมเด็จพระเจ้าอุมแบร์โตที่ 2 แห่งอิตาลี ซึ่งเรื่องราวของชาห์ที่พยายามจะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอิตาลีได้ถูกนำมาเรียกกันว่า "กษัตริย์มุสลิมกับเจ้าหญิงคาทอลิก" ส่วนหนังสือลอสเซวาตอเรโรมาโน (L'Osservatore Romano) ของสำนักวาติกันก็ได้เขียนอีกเช่นกันว่า "องุ่นพิษ"[22] ส่วนสมเด็จพระราชินีโซรยาหลังจากการหย่า จึงได้รับพระอิสริยยศเป็น เจ้าหญิงแห่งอิหร่าน และได้ผันตัวเป็นนักแสดงในยุโรประยะหนึ่ง[23] ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2001[24][25]
ฟาราห์ ดีบา
แก้ชาห์ทรงอภิเษกสมรสครั้งที่สามกับสตรีสามัญชน นามว่านางสาวฟาราห์ ดีบา ประสูติเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1938 ณ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองทาบริซ ประเทศอิหร่าน[26] ธิดาของนายโซห์รับ ดีบา และนางฟารีเดห์ ฆอตไบ เธอมีเชื้อสายอเซอรี[27][28] โดยบิดาของเธอเป็นคนพื้นเมืองอาเซอร์ไบจาน (อิหร่าน) ส่วนพระมารดานั้นมีพื้นเพมาจากจังหวัดกิลาน ซึ่งตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลแคสเปียน[26]
เธอได้ไปศึกษาต่อ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยศึกษาทรงด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ปารีส ซึ่งทำให้เธอมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระเจ้าชาห์เป็นครั้งแรก เมื่อครั้งที่พระเจ้าชาห์เสด็จเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ ฟาราห์ได้เข้าเฝ้าพร้อมกับนักศึกษาชาวอิหร่านคนอื่นๆ ในสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีสในปี ค.ศ. 1959 และต่อมาก็มีโอกาสเข้าเฝ้าอีกหลายครั้งเมื่อเสด็จกลับอิหร่านในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ทั้งสองได้พัฒนาสัมพันธภาพ จนในที่สุดสำนักพระราชวังก็ประกาศหมั้นเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ในปีเดียวกัน และได้อภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1959 และเธอเป็นพระมเหสีพระองค์แรกที่สามารถให้ประสูติกาลพระราชโอรสเพื่อสืบราชบัลลังก์ได้เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1960 และเป็นพระมเหสีเพียงพระองค์เดียวของประวัติศาสตร์อิหร่านที่ได้มีการเฉลิมพระอภิไธยเป็น จักรพรรดินี หรือ ชาห์บานู (شاهبانو) องค์แรกและองค์เดียวของอิหร่านยุคปัจจุบัน และยังทรงสถาปนาให้เป็น "จักรพรรดินีนาถผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" ในกรณีที่พระองค์สวรรคตหรือไม่สามารถปกครองประเทศได้ก่อนที่มกุฎราชกุมารจะเจริญพระชันษาครบ 21 ชันษา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับประเทศในตะวันออกกลาง[29] ชาห์และฟาราห์มีพระราชโอรส-ธิดา 4 พระองค์ ได้แก่
- มกุฎราชกุมารเรซา ปาห์ลาวี (ประสูติ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1960-) อภิเษกสมรสกับนางสาวยัสมิน อาเตมัด-อามินี มีพระธิดาด้วยกัน 3 พระองค์[15]
- เจ้าหญิงฟาราห์นาซ ปาห์ลาวี (ประสูติ 12 มีนาคม ค.ศ. 1963-)
- เจ้าชายอาลี เรซา ปาห์ลาวีที่ 2 (ประสูติ 28 เมษายน ค.ศ. 1966 - สิ้นพระชนม์ 4 มกราคม ค.ศ. 2011)[30][31] ทรงหมั้นกับซาราห์ ตาบาตาบัย[32] แต่มีพระธิดาเพียงพระองค์เดียวที่เกิดจากนางสาวราฮา ดีเดวาร์[33]
- เจ้าหญิงไลลา ปาห์ลาวี (ประสูติ 27 มีนาคม ค.ศ. 1970 – สิ้นพระชนม์ 10 มิถุนายน ค.ศ. 2001)[34]
หลังจากการปฏิวัติอิสลาม อดีตจักรพรรดินีฟาราห์ได้เสด็จลี้ภัยร่วมกับครอบครัว แต่ภายหลังการสวรรคตของพระสวามี อดีตจักรพรรดินีทรงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงพบกับพระสวามีครั้งแรก[34]
สวรรคต
แก้หลังจากที่พระเจ้าชาห์ ได้อพยพลี้ภัยพำนักในต่างประเทศหลายประเทศ สุดท้ายพระองค์จึงเสด็จสวรรคตที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1980 โดยได้จัดงานพระศพของชาห์ให้อย่างสมพระเกียรติในฐานะอดีตพระเทวัน (น้องเขย) ของพระเจ้าฟารุกที่ 1 แห่งอียิปต์ โดยฝังไว้ในกรุงไคโร และในพระราชพิธีนี้มีชาวอิหร่านไปร่วมพิธีหลายแสนคน[35]
ปัจจุบัน เจ้าชายเรซา ปาห์ลาวี มกุฎราชกุมารแห่งอิหร่าน พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระองค์ได้สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าชาห์อ้างสิทธิในราชบัลลังก์อิหร่านในปัจจุบัน[36] ปัจจุบันพระองค์ทรงประทับลี้ภัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ร่วมกับพระภรรยาและพระราชธิดา[37][38]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ D. N. MacKenzie. A Concise Pahlavi Dictionary. Routledge Curzon, 2005.
- ↑ M. Mo'in. An Intermediate Persian Dictionary. Six Volumes. Amir Kabir Publications, 1992.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 "Mohammad Reza Pahlavi Biography - family, history, wife, school, young, son, old, information, born, house, time, year". World Biography. สืบค้นเมื่อ 2010-10-24.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่นๆ. หน้า 17
- ↑ "Battle Between Persians and Russians". State Hermitage Museum. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-14. สืบค้นเมื่อ 2009-09-19.
- ↑ 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่นๆ. หน้า 18
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 7.5 7.6 7.7 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่นๆ. หน้า 19
- ↑ 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 "ศาสนากับการเมืองในอิหร่าน". เสรีภาพ ณ ชะเยือง. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-13. สืบค้นเมื่อ 2010-10-25.
- ↑ ใด ใด ในโลกล้วนอนิจจัง[ลิงก์เสีย]
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 10.6 10.7 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่นๆ. หน้า 20
- ↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 11.5 11.6 11.7 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่นๆ. หน้า 21
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 12.4 12.5 12.6 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่นๆ. หน้า 22
- ↑ "อิหร่าน (๓)". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-10-26. สืบค้นเมื่อ 2009-10-26.
- ↑ 14.0 14.1 จักรพันธุ์ กังวาฬ และคนอื่นๆ. หน้า 23
- ↑ 15.0 15.1 15.2 "การอภิเษกสมรสของพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-14. สืบค้นเมื่อ 2010-01-21.
- ↑ "Bidding Farewell". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-04-02. สืบค้นเมื่อ 2010-10-22.
- ↑ The New York Times, 20 November 1948, page 1
- ↑ 18.0 18.1 18.2 Soraya Esfandiari Bakhtiari Bakhtiarifamily
- ↑ 19.0 19.1 Shah To Wed, Iran Hears, The New York Times, 10 October 1950, p. 12.
- ↑ The Tribune, Chandigarh, India – Business
- ↑ Wedding of Shah Postponed, The New York Times, 22 December 1950, p. 10.
- ↑ Paul Hofmann, Pope Bans Marriage of Princess to Shah, The New York Times, 24 February 1959, p. 1.
- ↑ Princess Soraya (Official page) About me:Soraya Esfandiary-Bakhtiari
- ↑ ARTICLE WRITTEN BY DR ABBASSI FOR NIMROOZ NEWSPAPER[ลิงก์เสีย]
- ↑ The Iranian Soraya Fragments of a life By Cyrus Kadivar June 25, 2002 The Iranian
- ↑ 26.0 26.1 ปาห์ลาวี, ฟาราห์. ความทรงจำของฟาราห์ ปาห์ลาวี. ISBN 1-4013-5961-2
- ↑ Shakibi, Zhand. Revolutions and the Collapse of Monarchy: Human Agency and the Making of Revolution in France, Russia, and Iran. I.B.Tauris, 2007. ISBN 1-84511-292-X; p. 90
- ↑ Taheri, Amir. The Unknown Life of the Shah. Hutchinson, 1991. ISBN 0-09-174860-7; p. 160
- ↑ "The World: Farah: The Working Empress". Time. 4 November 1974. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-07-03. สืบค้นเมื่อ 2 May 2010.
- ↑ "เจ้าชายอาลีเรซา ปาห์ลาวี โอรสองค์เล็กพระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน สิ้นพระชนม์แล้ว". konmun.com. 2010-01-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-09-24. สืบค้นเมื่อ 2010-01-06.
- ↑ "รัฐบาลอิหร่าน เมิน-เจ้าชายยิงตัวตาย". www.muslimthai.com. 2010-01-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-01-08. สืบค้นเมื่อ 2010-01-06.
- ↑ "Salam Worldwide". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-01-07. สืบค้นเมื่อ 2010-10-22.
- ↑ "Announcement of Birth". Reza Pahlavi. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-30. สืบค้นเมื่อ 2011-08-05.
- ↑ 34.0 34.1 "Shah's daughter laid to rest". BBC News. 2001-06-17. สืบค้นเมื่อ 2009-11-11.
- ↑ "The last persian king of iran". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-04-07. สืบค้นเมื่อ 2009-10-20.
- ↑ "เรซากับแผนล้มรัฐบาลอิหร่าน". นสพ.คมชัดลึก. วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553. สืบค้นเมื่อ 25-10-2010.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help)[ลิงก์เสีย] - ↑ "Shah's daughter 'could not stand' exile". BBC News. 2001-06-12. สืบค้นเมื่อ 2010-7-14.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Shah's daughter laid to rest". BBC News. 2001-06-17. สืบค้นเมื่อ 2009-11-11.
บรรณานุกรม
แก้- จักรพันธ์ กังวาฬ. เส้นทางประวัติศาสตร์อันยาวไกลจากเปอร์เซียสู่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน. กรุ่นกลิ่นอารยธรรมเปอร์เซียในเมืองสยาม. กรุงเทพฯ : มติชน, 2550. หน้า 18-22
- Barth, Linda. Mohammed Reza Pahlavi. Philadelphia: Chelsea House, 2002.
- Pahlavai, Mohammad Reza, Shah of Iran. Answer to History. New York: Stein and Day, 1980.
- Saikal, Amin. The Rise and Fall of the Shah. Princeton, NJ: Princeton University Press, 1980.
- Shawcross, William. The Shah's Last Ride: The Fate of an Ally. New York: Simon and Schuster, 1988.
- ศาสนากับการเมืองในอิหร่าน เก็บถาวร 2012-01-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- History of Iran:Ayatollah Khomeini
- MehrNews.com เก็บถาวร 2010-05-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Video Archive of Mohammad Reza Pahlavi.
- Video: I knew Shah
- A web site in Persian and English dedicated to Mohammad Reza Shah Pahlavi).
- A web site in Persian dedicated to Reza Shah including video clip and photos March 2007) เก็บถาวร 2007-04-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
- A web site in Persian dedicated to Ardeshir Zahedi including video clip of marriage with Princess Shahnaz and photos of Shah March 2007) เก็บถาวร 2017-11-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
- The Shah's last interview (conducted by David Frost in Panama).
- Interview with Mike Wallace - YouTube Video
- Azadi TV: The Shah เก็บถาวร 2007-03-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- The Iranian constitution of 1906 (Persian) เก็บถาวร 2006-08-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
ก่อนหน้า | พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
พระเจ้าชาห์ เรซา ปาห์ลาวี | ชาห์แห่งอิหร่าน (16 กันยายน ค.ศ. 1941 - 11 กันยายน ค.ศ. 1979) |
ไม่มี (ระบอบกษัตริย์ถูกล้มล้าง) | ||
พระเจ้าชาห์ เรซา ปาห์ลาวี | ประมุขแห่งรัฐอิหร่าน (16 กันยายน ค.ศ. 1941 - 11 กันยายน ค.ศ. 1979) |
อายะตุลลอหฺรูฮุลลอฮ์ โคมัยนี | ||
ไม่มี | ผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์อิหร่าน (11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1979 - 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1980) |
มกุฎราชกุมารเรซา ปาห์ลาวี |