ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
จอมพล ดไวต์ เดวิด ไอก์ ไอเซนฮาวร์ (อังกฤษ: Dwight David "Ike" Eisenhower; 14 ตุลาคม ค.ศ. 1890 − 28 มีนาคม ค.ศ. 1969) เป็นชาวอเมริกันที่ดำรงตำแหน่งพลเอกแห่งกองทัพและรัฐบุรุษที่ทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ คนที่ 34 ตั้งแต่ค.ศ. 1953 ถึง 1961 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เป็นนายพลระดับห้าดาวในกองทัพสหรัฐและทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกำลังรบนอกประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรในทวีปยุโรป เขาได้รับผิดชอบในการวางแผนและควบคุมดูแลในการบุกครองแอฟริกาเหนือในปฏิบัติการคบเพลิง ใน ค.ศ. 1942-43 และประสบความสำเร็จในการบุกครองฝรั่งเศสและเยอรมนีใน ค.ศ. 1944−45 จากแนวรบด้านตะวันตก
ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ | |
---|---|
Dwight D. Eisenhower | |
ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 34 | |
ดำรงตำแหน่ง 20 มกราคม 1953 – 20 มกราคม 1961 | |
รองประธานาธิบดี | ริชาร์ด นิกสัน |
ก่อนหน้า | แฮร์รี เอส. ทรูแมน |
ถัดไป | จอห์น เอฟ. เคนเนดี |
ผู้บัญชาการทหารผสมสูงสุดยุโรป | |
ดำรงตำแหน่ง 2 เมษายน 1951 – 30 พฤษภาคม 1952 | |
ประธานาธิบดี | แฮร์รี เอส. ทรูแมน |
รอง | เบอร์นาร์ด มอนต์โกเมอรี |
ก่อนหน้า | ไม่มี |
ถัดไป | แมทธิว ริดจ์เวย์ |
เสนาธิการทหารบกสหรัฐ | |
ดำรงตำแหน่ง 19 พฤศจิกายน 1945 – 6 กุมภาพันธ์ 1948 | |
ประธานาธิบดี | แฮร์รี เอส. ทรูแมน |
ก่อนหน้า | จอร์จ มาร์แชลล์ |
ถัดไป | โอมาร์ แบรดลีย์ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | David Dwight Eisenhower 14 ตุลาคม ค.ศ. 1890 เดนิสัน รัฐเท็กซัส สหรัฐ |
เสียชีวิต | 28 มีนาคม ค.ศ. 1969 วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ | (78 ปี)
พรรคการเมือง | ริพับลิกัน (ตั้งแต่ 1952) |
คู่สมรส | Mamie Doud |
บุตร | 2 คน |
อาชีพ | นายทหาร, นักการเมือง |
ลายมือชื่อ | |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | สหรัฐ |
สังกัด | กองทัพบกสหรัฐ |
ประจำการ |
|
ยศ | จอมพล (General of the Army) |
ผ่านศึก | |
ไอเซนฮาวร์เกิดที่เมืองเดนิสัน รัฐเท็กซัส เขาได้ถูกรับเลี้ยงดูในรัฐแคนซัสในครอบครัวขนาดใหญ่ของเชื้อสายชาวดัตช์จากเพนซิลเวเนียส่วนใหญ่ ครอบครัวของเขามีพื้นฐานทางศาสนาที่เคร่งครัด แม่ของเขาตั้งแต่เกิดมานับถือนิกายลูเธอรัน เมื่อได้สมรสที่ River Brethren และต่อมาได้กลายเป็นพยานพระยะโฮวา อย่างไรก็ตาม, ไอเซนฮาวร์นั้นไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในศาสนานิกายใดๆ จนกระทั่ง ค.ศ. 1952 เขาได้อ้างถึงการย้ายถิ่นฐานอย่างต่อเนืองในช่วงการงานอาชีพทางทหารของเขาเป็นเหตุผลเดียว[2] เขาได้จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกเวสต์พอยต์ใน ค.ศ. 1915 และต่อมาก็ได้สมรสกับนางมามี เดาด์ ซึ่งได้มีลูกชายสองคน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้ปฏิเสธคำขอให้ไปทำหน้าที่ในสมรภูมิทวีปยุโรปและแทนที่จะสั่งการหน่วยที่ได้รับการฝึกฝนให้เป็นพลขับรถถัง หลังสงคราม เขาได้ทำหน้าที่ภายใต้นายพลต่างๆและได้รับการเลื่อนยศเป็นพลจัตวาในปี 1941 ภายหลังจากที่สหรัฐได้เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง ไอเซนฮาวร์ได้ควบคุมในการบุกครองที่ประสบความสำเร็จที่แอฟริกาเหนือและเกาะซิซิลี ก่อนที่จะควบคุมดูแลการบุกครองฝรั่งเศสและเยอรมนี ภายหลังสงคราม ไอเซนฮาวร์ได้ทำหน้าที่เป็นเสนาธิการกองทัพบกและรับบทบาทเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในปี 1951-52 เขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งองค์กรนาโตคนแรก
ในปี 1952 ไอเซนฮาวร์ได้เข้าการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในฐานะที่เป็นคนของพรรครีพันลิกันเพื่อสกัดกั้นนโยบายต่างประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของวุฒิสมาชิก Robert A. Taft ที่ต่อต้านองค์กรนาโตและต้องการที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวพันกับต่างประเทศ เขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและชัยชนะที่สำคัญในการเลือกตั้งใน ค.ศ. 1956 ตั้งสองครั้งที่เอาชนะ Adlai Stevenson II เขาได้กลายเป็นคนของพรรครีพันลิกันคนแรกที่สามารถเอาชนะมาได้นับตั้งแต่เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ ใน ค.ศ. 1928 เป้าหมายหลักของไอเซนฮาวร์ในสำนักงาน อันได้แก่ การแผ่ขยายอิทธิพลของสหภาพโซเวียต และลดการขาดดุลรัฐบาลกลาง ใน ค.ศ. 1953 เขาได้ข่มขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์จนกว่าจีนจะยินยอมในข้อตกลงสันติภาพในสงครามเกาหลี ซึ่งจีนเห็นด้วยและการสงบศึกนั้นที่ยังคงมีผลอยู่ นโยบายการมองใหม่ของเขาในการยับยั้งนิวเคลียร์ซึ่งได้จัดลำดับความสำคัญของอาวุธนิวเคลียร์ที่ราคาไม่แพงในขณะที่ได้ตัดงบประมาณจากกองพลของกองทัพบกที่มีราคาแพง เขายังคงถือนโยบายของแฮร์รี เอส. ทรูแมนจากการรับรองว่า สาธารณรัฐจีนในฐานะที่เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศจีนและเขาได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาของ Formosa Resolution การปกครองของเขาได้ให้ความช่วยเหลือที่สำคัญในการช่วยให้ฝรั่งเศสต่อสู้กับคอมมิวนิสต์เวียดนามในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง หลังจากที่ฝรั่งเศสได้ถอนตัวออกไป เขาได้ให้การสนับสนุนทางการเงินที่เข้มแข็งให้กับรัฐใหม่ของเวียดนามใต้ เขาได้สนับสนุนการก่อรัฐประหารของทหารท้องถิ่นที่ต่อต้านกับรัฐบาลในอิหร่านและกัวเตมาลา ในช่วงวิกฤตการณ์คลองสุเอซ ใน ค.ศ. 1956 ไอเซนฮาวร์ได้กล่าวประณามอิสราเอล อังกฤษ และฝรั่งเศสที่ได้บุกครองอียิปต์ และเขาได้บังคับให้พวกเขาถอนตัว นอกจากนี้เขายังได้กล่าวประณามการบุกครองของโซเวียตในช่วงการปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1956 แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ในช่วงวิกฤตการณ์ซีเรีย เขาได้อนุมัติแผนของซีไอเอ-เอ็มไอ6 เพื่อดำเนินเหตุการณ์ชายแดนปลอมที่เป็นข้ออ้างสำหรับการบุกครองโดยประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันตกที่สนับสนุนของซีเรีย[3] ภายหลังจากสหภาพโซเวียตได้เปิดตัว สปุตนิก ใน ค.ศ.1957 ไอเซนฮาวร์ได้อนุมัติให้จัดตั้งองค์กรนาซา ซึ่งนำไปสู่การแข่งขันอวกาศ เขาได้ส่งทหาร 15,000 นายในช่วงวิกฤตการณ์เลบานอน ค.ศ. 1958 เมื่อใกล้ถึงสิ้นสุดของวาระ ความพยายามของเขาในการจัดตั้งการประชุมสุดยอดกับสหภาพโซเวียตที่พังทลายลง เมื่อเครื่องบินสายลับของสหรัฐถูกยิงตกเหนือน่านฟ้ารัสเซีย เขาได้อนุมัติในการบุกครองอ่าวหมู ซึ่งได้ทิ้งให้แก่ผู้รับช่วงต่อจากเขา จอห์น เอฟ. เคนเนดี เพื่อดำเนินต่อไป[4]
ในด้านภายในประเทศ, ไอเซนฮาวร์เป็นนักอนุรักษนิยมค่อนข้างปานกลางที่ยังคงสานต่อหน่วยงานโครงการสัญญาใหม่ และขยายความมั่นคงทางสังคม เขาได้แอบต่อต้าน Joseph McCarthy และมีส่วนทำให้การสิ้นสุดของ McCarthyism โดยอ้างสิทธิ์การบริหารประเทศอย่างเปิดเผย ไอเซนฮาวร์ได้ลงนามกฎหมายสิทธิพลเมือง ค.ศ. 1957 และส่งกองกำลังทหารของกองทัพเพื่อบังคับคำสั่งศาลรัฐบาลกลางที่รวมตัวกันที่โรงเรียนใน Little Rock, Arkansas โครงการขนาดใหญ่ของเขาคือ ระบบทางหลวงระหว่างรัฐ เขาได้ให้ความสำคัญในการจัดตั้งการศึกษาวิทยาศาสตร์ที่เข้มแข็งผ่านด้วยกฎหมายการศึกษาด้านการป้องกันประเทศ ข้อตกลงสองข้อของไอเซนฮาวร์ได้แสดงให้เห็นถึงความมั่นคั่งทางเศรษฐกิจที่แพร่หลายซึ่งยกเว้นเพียงแค่ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ใน ค.ศ. 1958 ในคำกล่าวสุนทรพจน์การอำลาต่อประเทศของเขา ไอเซนฮาวร์ได้แสดงถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับอันตรายของการใช้งบประมาณทางทหารจำนวนมาก การใช้งบประมาณดุลการค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง และสัญญาของรัฐบาลที่ต่อโรงงานการผลิตทางทหารของภาคเอกชน เขาได้รับการโหวตให้เป็นชายที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดถึงสิบสองครั้งของ Gallup และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั้งภายในและนอกสำนักงาน การประเมินผลทางประวัติศาสตร์ของตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาทำให้เขาอยู่เหนือชั้นของประธานาธิบดหรัฐ
ดไวต์ ดี ไอเซนฮาวร์ได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1969 รวมอายุได้ 78 ปี
เกียรติยศ
แก้ยศทหาร
แก้- 12 มิถุนายน 1915 : ร้อยตรี
- 1 กรกฎาคม 1916 : ร้อยโท
- 15 พฤษภาคม 1917 : ร้อยเอก
- 2 กรกฎาคม 1920 : พันตรี
- 15 พฤษภาคม 1922 : ร้อยเอก (ลดยศเนื่องจากกองทัพถูกลดขนาด)
- 26 สิงหาคม 1924 : พันตรี
- 1 กรกฎาคม 1936 : พันโท
- 6 มีนาคม 1941 : พันเอก
- 29 กันยายน 1941 : พลจัตวา (ชั่วคราว)
- 27 มีนาคม 1942 : พลตรี (ชั่วคราว)
- 7 กรกฎาคม 1942 : พลโท (ชั่วคราว)
- 11 กุมภาพันธ์ 1943 : พลเอก (ชั่วคราว)
- 30 สิงหาคม 1943 : พลจัตวาและพลตรี
- 20 ธันวาคม 1944 : จอมพล
อ้างอิง
แก้- ↑ "Post-presidential years". The Eisenhower Presidential Library and Museum. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 23, 2013. สืบค้นเมื่อ September 5, 2012.
- ↑ "Study guide on Eisenhower and religion" (PDF). Eisenhower Presidential Library. p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-01-30. สืบค้นเมื่อ August 16, 2017.
- ↑ Fenton, Ben (September 27, 2003). "Macmillan backed Syria assassination plot". The Guardian. สืบค้นเมื่อ March 7, 2018.
- ↑ Quirk, Robert E. (1993). Fidel Castro. p. 303 New York and London: W.W. Norton & Company. ISBN 978-0393034851.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้ก่อนหน้า | ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
แฮร์รี เอส. ทรูแมน | ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา คนที่ 34 (20 มกราคม พ.ศ. 2496 - 20 มกราคม พ.ศ. 2504) |
จอห์น เอฟ. เคนเนดี | ||
จอร์จ มาร์แชล | บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ (ค.ศ. 1944) |
แฮร์รี เอส. ทรูแมน | ||
ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ | บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ (ค.ศ. 1959) |
นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน |