การปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1956
การปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1956 (ฮังการี: 1956-os forradalom) เป็นการจลาจลทั่วประเทศเพื่อต่อต้านรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนฮังการีและนโยบายที่กำหนดโดยสหภาพโซเวียต เหตุการณ์ในครั้งนี้นับเป็นภัยคุกคามต่อการปกครองของสหภาพโซเวียตเป็นครั้งแรก นับแต่กองกำลังโซเวียตมีชัยชนะเหนือกองกำลังนาซีในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองและเข้ายึดครองยุโรปตะวันออก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม ถึง 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1956 ถึงแม้ว่าการก่อการครั้งนี้จะประสบความล้มเหลว แต่มีความสำคัญนำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในหลายทศวรรษต่อมา[4]
การปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1956 | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามเย็น | |||||||
ธงชาติฮังการี (ค.ศ. 1949–1956) โดยตราแผ่นดินคอมมิวนิสต์ถูกตัดออก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
สหภาพโซเวียต จนถึง 28 ตุลาคม: สาธารณรัฐประชาชนฮังการีตั้งแต่ 4 พฤศจิกายน: รัฐบาลกาดาร์ | นักปฏิวัติชาวฮังการีตั้งแต่ 28 ตุลาคม: (รัฐบาลนอจ) | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
| |||||||
หน่วยที่เกี่ยวข้อง | |||||||
กองทัพโซเวียต เคจีบี ÁVH กลุ่มผู้ภักดีของกองทัพประชาชนฮังการี | กองกำลังพลเรือน ผู้ประท้วง ฝ่ายสนับสนุนการปฏิวัติของกองทัพประชาชนฮังการี | ||||||
กำลัง | |||||||
| ไม่ทราบ | ||||||
กำลังสนับสนุนทางการเมือง | |||||||
พรรคประชาชนแรงงาน (จนถึง 28 ตุลาคม) พรรคแรงงานสังคมนิยม (ตั้งแต่ 4 พฤศจิกายน) | พรรคประชาชนแรงงาน (จนถึง 31 ตุลาคม) พรรคแรงงานสังคมนิยม(จนถึง 4 พฤศจิกายน) พรรคเกษตรกรรายย่อย พรรคประชาธิปไตยสังคมนิยม พรรคแปเตอฟี พรรคประชาธิปไตยประชาชน พรรคอิสระพรรคอื่นที่จัดตั้งขึ้นใหม่ | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
|
| ||||||
พลเรือนเสียชีวิต 3,000 คน[3] |
ชนวนเหตุ
แก้การจลาจลเริ่มต้นขึ้นจากการประท้วงของนักเรียนนักศึกษา ซึ่งดึงดูดสายตาของผู้คนนับพันที่พวกเขาเดินผ่านจากในกลางกรุงบูดาเปสต์จนถึงอาคารรัฐสภา มีการกระจายเสียงผ่านทางคลื่นวิทยุเรดิโอฟรียุโรป โดยอาศัยรถตู้ติดลำโพง เพื่อหาแนวร่วมจากประชาชนตามท้องถนน ตำรวจความมั่นคงแห่งรัฐได้กักกันผู้แทนนักเรียนนักศึกษาที่เข้าไปยังม็อดยอร์ ราดิโอเพื่อพยายามกระจายเสียงความต้องการของนักเรียนนักศึกษา ผู้ประท้วงด้านนอกได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้แทนนักเรียนนักศึกษา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาจากเจ้าหน้าที่คือกระสุนปืนซึ่งยิงออกมาจากด้านในอาคารสถานีวิทยุ เมื่อมีการยิงกระสุนปืนใส่กลุ่มนักเรียนนักศึกษา ส่งผลให้นักเรียนนักศึกษาคนหนึ่งเสียชีวิต ผู้ประท้วงได้นำร่างของเขาห่อด้วยธงชาติและยกขึ้นเหนือฝูงชน จากเหตุการณ์นี้เองกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติฮังการี เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปก็เกิดความวุ่นวายและความรุนแรงขึ้นทั่วเมืองหลวงของประเทศ
การก่อจลาจลแผ่ขยายอย่างกว้างขวางในประเทศฮังการี เป็นสาเหตุให้การเข้าปกครองของรัฐบาลสหภาพโซเวียตต้องหยุดชะงักลง ชาวฮังการีหลายพันคนรวมกลุ่มกันตั้งตัวเป็นกองกำลังทหารต่อสู้กับกลุ่มตำรวจความมั่นคงแห่งรัฐ (Államvédelmi Hatóság) และกองทัพโซเวียต ในช่วงนี้มักมีการประหารชีวิตหรือจำคุกกลุ่มผู้สนับสนุนคอมมิวนิสต์โซเวียตและตำรวจความมั่นคงแห่งรัฐ สภาแรงงานหัวรุนแรงที่ตั้งขึ้นเฉพาะหน้าเข้าควบคุมการปกครองเทศบาลต่าง ๆ จากรัฐบาลกลางของพรรคประชาชนแรงงานฮังการีและเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รัฐบาลใหม่ประกาศยกเลิกตำรวจความมั่นคงแห่งรัฐอย่างเป็นทางการ ประกาศความตั้งใจที่จะถอนตัวออกจากสนธิสัญญาวอร์ซอและสัญญาจะจัดการเลือกตั้งอย่างเสรีขึ้นอีกครั้ง ในช่วงท้ายของเดือนตุลาคม การต่อสู้เริ่มลดน้อยลงและสัญญาณของสภาวะปกติเริ่มกลับมาอีกครั้ง
หลังจากสิ้นสุด
แก้โปลิตบูโรเปลี่ยนความตั้งใจที่จะถอนกองกำลังทหารออกจากฮังการี และได้เคลื่อนพลเข้ายึดครองกรุงบูดาเปสต์และพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศอีกครั้งในวันที่ 4 พฤศจิกายน ชาวฮังการีจึงลุกขึ้นต่อต้าน แต่ด้วยความที่เหตุการณ์มีความรุนแรงมาก จึงทำให้เกิดความสูญเสียทั้งฝ่ายฮังการีและโซเวียต โดยชาวฮังการีเสียชีวิตมากกว่า 2,500 คน ทหารโซเวียตเสียชีวิตมากกว่า 700 นาย และมีประชาชนอีกกว่า 200,000 คนที่หลบหนีออกนอกประเทศ มีการจับกุมและประณามกลุ่มมวลชนชาวฮังการีที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องหลายเดือน กระทั่งเดือนมกราคม ค.ศ. 1957 โซเวียตจัดตั้งรัฐบาลฮังการีชุดใหม่ได้สำเร็จและได้กำจัดฝ่ายปรปักษ์ ทำให้โซเวียตมีอำนาจขึ้นเหนือภูมิภาคยุโรปตะวันออก เกิดความบาดหมางกับแนวคิดมาร์กซิสตะวันตก ซึ่งเป็นแนวคิดการปกครองอย่างหนึ่งที่มีอิทธิพลในสมัยนั้น
รัฐบาลฮังการีในสมัยต่อมาห้ามมิให้มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการปฏิวัติครั้งนี้ในที่สาธารณะเป็นเวลามากกว่า 30 ปี กระทั่งในทศวรรษที่ 1980 หัวข้อเกี่ยวกับการปฏิวัติได้กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจในการศึกษาและวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อมีการสถาปนาสาธารณรัฐฮังการีที่ 3 ในปี ค.ศ. 1989 วันที่ 23 ตุลาคมจึงได้รับการกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ
บทนำ
แก้ประเทศฮังการีเป็นชาติสมาชิกของฝ่ายอักษะในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีสถานะเป็นชาติพันธมิตรของนาซีเยอรมนี อิตาลี โรมาเนียและบัลแกเรีย ในปี ค.ศ. 1941 กองทัพฮังการีมีส่วนร่วมในเหตุการณ์การยึดครองยูโกสลาเวียและปฏิบัติการบาร์บารอสซาร่วมกับชาติสมาชิกฝ่ายอักษะ อย่างไรก็ตามกองทัพโซเวียตสามารถต้านทานการรุกรานจากฝ่ายอักษะได้ และเริ่มโต้กลับมุ่งหน้าสู่ฮังการีในปี ค.ศ. 1944
รัฐบาลฮังการีเริ่มการเจรจาสงบศึกกับฝ่ายสัมพันธมิตร เนื่องจากกลัวการรุกรานของกองทัพโซเวียต อย่างไรก็ตามการเจรจาต้องยุติลง เมื่อกองทัพนาซีเยอรมันรุกรานและยึดครองฮังการีและจัดตั้งรัฐบาลที่นิยมฝ่ายอักษะ กองกำลังของฮังการีและเยอรมนีที่ประจำอยู่ในฮังการีพ่ายแพ้ต่อกองทัพของสหภาพโซเวียต ซึ่งเข้ารุกรานฮังการีในปี ค.ศ. 1945
การยึดครองหลังสงคราม
แก้กองทัพโซเวียตเข้ายึดครองประเทศฮังการีหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้ประเทศฮังการีเป็นประเทศภายใค้เขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียต ในขณะนั้นประเทศฮังการีปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยและใช้ระบบหลายพรรค ผลการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1945 ก่อให้เกิดการร่วมรัฐบาลระหว่างพรรคภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีซลตาน ติลดิ อย่างไรก็ตามพรรคคอมมิวนิสต์ฮังการี ซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบลัทธิเลนิน ได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 17 เท่านั้น จึงเริ่มใช้ยุทธวิธีใส้กรอก ในการลดอิทธิพลของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง[5][6]
หลังจากการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1945 พรรคคอมมิวนิสต์ได้บังคับให้มีการโอนตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีอำนาจดูแลตำรวจความมั่นคงแห่งรัฐ (Államvédelmi Hatóság, ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ ÁVH) จากพรรค Independent Smallholders สู่ผู้แทนของพรรคคอมมิวนิสต์[7] ตำรวจความมั่นคงแห่งรัฐใช้วิธีการข่มขู่ สร้างข้อกล่าวหาเท็จ จำคุกและทรมานเพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง[8] ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ของระบอบประชาธิปไตยถึงจุดสิ้นสุด เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์รวมตัวกับพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย เพื่อก่อตั้งพรรคประชาชนแรงงานฮังการี ซึ่งชนะการเลือกตั้งเหนือคู่แข่งทางการเมืองอื่นในปี ค.ศ. 1949 ส่งผลให้เกิดการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนฮังการีในเวลาต่อมา[6] และในปีเดียวกันนั้น สหภาพโซเวียตได้บรรลุสนธิสัญญาให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (Comecon) โดยรัฐบาลฮังการีอนุญาตให้โซเวียตสามารถคงกองกำลังทหารไว้ในประเทศได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการควบคุมทางการเมือง
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อ้างอิง
แก้- ↑ Györkei, J.; Kirov, A.; Horvath, M. (1999). Soviet Military Intervention in Hungary, 1956. New York: Central European University Press. p. 370. ISBN 963-9116-35-1.
- ↑ UN General Assembly Special Committee on the Problem of Hungary (1957) "Chapter V, footnote 8" (PDF).
- ↑ "B&J": Jacob Bercovitch and Richard Jackson, International Conflict : A Chronological Encyclopedia of Conflicts and Their Management 1945–1995 (1997) p. 85
- ↑ Reuters, "Divided Hungary marks 1956 anti-Soviet revolt", MSNBC, 23 October 2012.
- ↑ Kertesz, Stephen D. (1953). Diplomacy in a Whirlpool: Hungary between Nazi Germany and Soviet Russia, Chapter VIII (Hungary, a Republic), p.139-52. University of Notre Dame Press, Notre Dame, Indiana. ISBN 0-8371-7540-2. สืบค้นเมื่อ 2006-10-8
- ↑ 6.0 6.1 UN General Assembly Special Committee on the Problem of Hungary (1957) Chapter II. A (Developments before 22 October 1956), paragraph 47 (p. 18)
- ↑ UN General Assembly Special Committee on the Problem of Hungary (1957) Chapter IX D, para 426 (p. 133)
- ↑ UN General Assembly Special Committee on the Problem of Hungary (1957) Chapter II.N, para 89(xi) (p. 31)
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "หมายเหตุ" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="หมายเหตุ"/>
ที่สอดคล้องกัน