อัลอุซซา
อัลอุซซา (อาหรับ: العزى al-ʻUzzā [al ʕuzzaː]) เป็นหนึ่งในสามเทพีหลักของศาสนาในอาระเบียก่อนการมาของอิสลาม และถูกบูชาโดยชาวอาหรับก่อนศาสนาอิสลามคู่กับอัลลาตกับมะนาต โดยมีลูกบาศก์หินเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิในเมืองอัฏฏออิฟ (ใกล้มักกะฮ์) พระองค์ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ที่ 53:19 ในฐานะหนึ่งในเทพีที่ผู้คนบูชากัน
อัลอุซซา | |
---|---|
เทพีแห่งความยิ่งใหญ่, การป้องกัน และความรัก | |
ศูนย์กลางของลัทธิ | มักกะฮ์ |
สัญลักษณ์ | ต้นไม้สามต้น |
เป็นที่นับถือใน | อาระเบีย |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
พี่น้อง | อัลลาต, มะนาต |
เทพที่เทียบเท่าในความเชื่ออื่น | |
เทียบเท่าในกรีก | แอโฟรไดที |
เทียบเท่าในโรมัน | วีนัส |
เหมือนกับฮุบัล อัลอุซซาถูกเรียกไว้เพื่อป้องกันตัวเองโดยเผ่ากุเรช "ใน ค.ศ. 624 ณ 'ยุทธการที่อุฮุด' มีการกล่าาวขวัญแก่พวกกุเรชว่า "โอ้ประชาชนแห่งอุซซา, ประชาชนแห่งฮุบัล!"[1] อัลอุซซายังปรากฏในโองการชัยฏอนตามรายงานของอิบน์อิสฮักที่ยังเป็นข้อโต้เถียงอยู่[2]
วิหารสำหรับอัลอุซซาและเทวรูปของพระองค์ถูกทำลายโดยคอลิด อิบน์ อัลวะลีดที่นัคละฮ์ในปีค.ศ. 630[3][4]
การทำลายวิหาร
แก้หลังจากเหตุการณ์พิชิตมักกะฮ์ ได้ไม่นาน ศาสดามุฮัมมัดเริ่มลงมือทำลายสิ่งที่ทำไว้ก่อนที่ศาสนาอิสลามมาให้หมดสิ้น
ท่านส่งคอลิด อิบน์ อัลวะลีดไปที่นัคละฮ์ในช่วงเดือนเราะมะฎอน ค.ศ. 630 (ฮ.ศ. 8) ซึ่งเป็นที่ตั้งของเทพีอัลอุซซาที่ถูกบูชาโดนชนเผ่ากุเรชและกินานะฮ์ ซึ่งเป็นเทพีที่สำคัญที่สุดของแคว้นนี้
คอลิดจึงส่งทหารม้า 30 นายไปทำลายเทวสถาน ปรากฏว่าที่นั่นมีเทวรูปอัลอุซซาอยู่สององค์ โดยอันหนึ่งคือของจริง ส่วนอีกอันคือของปลอม คอลิดจึงไปทำลายของปลอม แล้วกลับไปหาท่านศาสดาเพื่อรายงานว่าเขาทำภารกิจเสร็จสิ้น "ท่านเห็นอะไรผิดปกติไหม?" ท่านศาสดาถาม "ไม่" คอลิดตอบ "ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ได้ทำลายอัลอุซซา" ท่านศาสดากล่าว "ไปที่นั่นใหม่"
คอลิดรู้สึกโกรธต่อความผิดพลาดของตนเอง แล้วไปที่นัคละฮ์อีกรอบ และครั้งนี้เขาได้พบกับวิหารของอัลอุซซาของจริง ผู้เฝ้าวิหารหนีออกไปจากวิหารแล้ว แต่ก่อนที่จะละทิ้งนั้น เขาได้แขวนดาบบนคอของเธอ โดยหวังว่ามันสามารถป้องกันเธอได้ ในตอนที่คอลิดเข้าไปในวิหาร เขาได้พบกับหญิงอบิสซิเนียที่ไม่ปกติแก้ผ้าร้องไห้ต่อหน้าเขา แต่คอลิดไม่หยุดเดินหน้าต่อเพื่อตัดสินใจว่า เธอมาที่นี่เพื่อหยุดเขาหรือปกป้องภาพของวิหาร ดังนั้นเขาจึงชูดาบในพระนามของอัลลอฮ์ โดยการฟันครั้งเดียวทำให้หญิงคนนั้นถูกผ่าออกเป็นสองซีก แล้วทำลายภาพนั้น และกลับไปที่มักกะฮ์ พร้อมกับบอกท่านศาสดาในสิ่งที่เขาเห็นและทำลงไป จากนั้นท่านศาสดาบอกว่า "ใช่ นั่นคืออัลอุซซา; และเธอจะไม่ถูกบูชาในดินแดนนี้อีกต่อไป"[3][4]
ลัทธิของอัลอุซซา
แก้รายงานจาก กิตาบ อัลอัศนาม ของฮิชาม อิบน์ อัลกัลบี[5]
... [ชาวอาหรับ] ได้สร้างบ้านที่เรียกว่า บุสส์ เป็นที่ซึ่งผู้คนรับคำพยากรณ์ เช่นเดียวกันกับเผ่ากุเรช ชาวอาหรับได้ตั้งชื่อลูกตนเองว่า "‘อับดุลอุซซา" ที่มากไปกว่านั้น อัลอุซซาเป็นเทวรูปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวกุเรช พวกเขาเดินทางไปหาพระองค์ ให้ของขวัญแก่พระองค์ และแสวงหาความโปรดปรานจากพระองค์ผ่านการบูชายัญ[6]
พวกกุเรชกล่าวประโยคนี้ตอนเดินวนรอบกะอ์บะฮ์ว่า
ประโยคสุดท้ายกล่าวกันว่าเป็นรายงานในโองการชัยฏอนที่ยังเป็นข้อโต้แย้ง; โดยในภาษาอาหรับแปลได้เป็น "สตรีที่ยกย่องที่สุด" โดยฟาริสในกิตาบ อัลอัศนาม แต่ถูกโต้เถียงในหมายเหตุว่า "แปลตรงตัวคือ นกกระเรียนนูมีเดีย."
เทพีทั้งสามพระองค์ถูกตั้งห่างกันใกล้มักกะฮ์ โดยวิหารของอัลอุซซาที่สำคัญที่สุดอยู่ที่นัคละฮ์ ใกล้กับกุดัยด์ ทางตะวันออกของมักกะฮ์ อยู่บนเส้นทางไปยังอัฏฏออิฟ; โดยมีต้นไม้สามต้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (รายงานจากอัลอะนาซี อบูอะลี ใน กิตาบ อัลอัศนาม)
อับดุลอุซซา ["ผู้รับใช้ผู้ยิ่งใหญ่"] เป็นชื่อที่นิยมใช้กันก่อนการมาของอิสลาม[7]
รายงานจากอับดุลลอฮ์ อิบน์ อับบาสว่า อัฏเฏาะบะรีกล่าวว่า อัลอุซซา มาจากคำว่า อัลอะซีซ แปลว่า "ผู้ยิ่งใหญ่" ซึ่งเป็นหนึ่งใน 99 "พระนามของอัลลอฮ์" ในคำอธิบายบนกุรอานซูเราะฮ์ที่ 7:180.[8]
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ Tawil (1993).
- ↑ Ibn Ishaq Sirat Rasul Allah, pp. 165–167.
- ↑ 3.0 3.1 S.R. Al-Mubarakpuri. The sealed nectar. p. 256. สืบค้นเมื่อ 2013-02-03.
- ↑ 4.0 4.1 "He sent Khalid bin Al-Waleed in Ramadan 8 A.H", Witness-Pioneer.com เก็บถาวร 2011-09-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Ibn al-Kalbi, trans. Faris (1952), pp. 16–23.
- ↑ Jawad Ali, Al-Mufassal Fi Tarikh al-Arab Qabl al-Islam (Beirut), 6:238-9
- ↑ Hitti (1937), pp. 96–101.
- ↑ Ibn al-Kalbi, Book of Idols, 25.
สารานุกรม
แก้- Ambros, Arne A. (2004). A Concise Dictionary of Koranic Arabic. Wiesbaden: Reichert Verlag. ISBN 978-3-89500-400-1.
- Berkey, Jonathan Porter (2003). The Formation of Islam: Religion and Society in the Near East, 600-1800. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-58813-3.
- Burton, John (1977). The Collection of the Qur'an (the collection and composition of the Qu'ran in the lifetime of Muhammad). Cambridge University Press.
- Finegan, Jack (1952). The Archeology of World Religions. Princeton University Press. pp. 482–485, 492.
- Peters, Francis E. (1994b), Muhammad and the Origins of Islam, SUNY Press, ISBN 978-0-7914-1875-8
- Hitti, Philip K. (1937). History of the Arabs.
- Ibn al-Kalbī, Hisham (1952). The Book of Idols, Being a Translation from the Arabic of the Kitāb al-Asnām. Translation and commentary by Nabih Amin Faris. Princeton University Press. LCCN 52006741.
- Peters, F. E. (1994). The Hajj: The Muslim Pilgrimage to Mecca and the Holy Places. Princeton University Press.
- al-Tawil, Hashim (1993). Early Arab Icons: Literary and Archaeological Evidence for the Cult of Religious Images in Pre-Islamic Arabia (วิทยานิพนธ์ PhD). University of Iowa. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2005-01-20.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- "Those Are The High Flying Claims": A Muslim site on Satanic Verses story
- Nabataean pantheon including al-ʻUzzā
- Quotes concerning al-‘Uzzá from Hammond and Hitti