การสังหารหมู่ราชวงศ์เนปาล
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ได้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่พระราชวงศ์แห่งเนปาลขึ้นภายในพระราชวังในกรุงกาฐมาณฑุ เป็นผลให้กษัตริย์พิเรนทรพีรพิกรมศาหเทวะ (Birendra Bir Bikram Shah Dev) และสมเด็จพระราชินีไอศวรรยาราชยลักษมีเทวีศาหะ (Aiswarya) เสด็จสวรรคต พร้อมด้วยสมาชิกพระราชวงศ์อีก 7 พระองค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นสมาชิกองค์สำคัญในราชวงศ์เนปาลทั้งสิ้น เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวโลกตื่นตะลึง และยังความเศร้าโศกโกลาหลให้แก่ชาวเนปาลอย่างมหันต์
เหตุการณ์สังหารหมู่พระราชวงศ์เนปาล พ.ศ. 2544 | |
---|---|
พระราชวังนารายันหิติ กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล สถานที่เกิดเหตุ ปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐ | |
สถานที่ | Narayanhiti Palace |
วันที่ | 1 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ประมาณ 21 นาฬิกา (UTC+5:45) |
เป้าหมาย | สมเด็จพระราชาธิบดีพีเรนทรพีรพิกรมศาหเทวะ และพระบรมวงศานุวงศ์เนปาล |
ประเภท | การสังหารหมู่, การฆาตกรรม- ฆ่าตัวตาย |
ตาย | 9 (10 รวมทั้งผู้ก่อเหตุ) |
เจ็บ | 5 |
ผู้ก่อเหตุ | มกุฎราชกุมารทิเปนทรพีระพิกรมศาหเทวะ |
สำนักพระราชวังได้ประกาศสาเหตุของโศกนาฏกรรมว่า เกิดจากอุบัติเหตุพระแสงปืนลั่นโดยมกุฎราชกุมารดิเพนทรา (Dipentra) เป็นผู้ทำพระแสงปืนลั่นในขณะที่สมาชิกพระราชวงศ์กำลังร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำ ก่อนที่องค์มกุฎราชกุมารจะทำพระแสงปืนลั่นถูกพระองค์เอง ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักพระราชวังและแหล่งข่าวหลายกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดจากการที่องค์มกุฏราชกุมาณทรงบันดาลโทสะในขณะทรงวิวาทกับพระราชมารดาเรื่องการที่องค์มกุฎราชกุมาร ทรงต้องการจะอภิเษกกับสตรีจากตระกูลรานา (Rana) และแหล่งข่าวอีกหลายกระแส ตั้งข้อสงสัยว่าองค์มกุฎราชกุมารทรงตกอยู่ในพระอาการมึนเมาจากน้ำจัณฑ์ (สุรา) และยาเสพติด
หลังจากจัดงานพระบรมศพเรียบร้อย ในวันที่ 3 มิถุนายน ทางการเนปาลก็ได้อัญเชิญให้มกุฎราชกุมาร ดิเพนทรา ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา แต่ในวันเดียวกัน พระองค์ก็สวรรคตลงอีกพระองค์หนึ่ง ทำให้ทางการเนปาลต้องถวายการแต่งตั้งให้เจ้าชายชญาเนนทร (Gyanendra) พระอนุชาของกษัตริย์พิเรนทรา ซึ่งมิได้ประทับในกาฐมาณฑุขณะเกิดโศกนาฏกรรม
การสวรรคตของกษัตริย์พิเรนทรา ส่งผลให้การเมืองภายในประเทศของเนปาลเกิดความปั่นป่วนขึ้นเกือบจะในทันที ประชาชนจำนวนมากได้รวมตัวกันเป็นขบวนประท้วงไปตามถนนในกรุงกาฐมาณฑุ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสืบหาความจริงของโศกนาฏกรรมโดยด่วน ประชาชนที่กำลังโกรธแค้นได้ทำลายสาธารณสมบัติ และต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจนมีผู้เสียชีวิตหลายราย ทำให้ทางการต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศจนถึงวันที่ 8 มิถุนายน ในขณะเดียวกันหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับถูกสั่งปิดข้อหาลงข่าวที่ไม่เหมาะสม ขณะที่ผู้นำกลุ่มลัทธิเหมา (Maoist) นายประจันดา (Prachanda เป็นชื่อย่อจาก Pushpa Kamal Dahal) ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ฝ่ายซ้าย (leftist) ฝ่ายชาตินิยม (nationalist) และฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ (republican) ร่วมกันตั้งรัฐบาลเฉพาะการณ์ขึ้นในระหว่างที่ประเทศกำลังระส่ำระสาย นอกจากนี้ นายมาดาว์ กุมาร เนปาล (Madhav Kumar Nepal) หัวหน้าพรรคแนวร่วมคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (Nepal Communist Party-United Marxist and Leninist : NCP-UML) ซึ่งเป็นฝ่ายค้านของเนปาลได้ลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 14 มิถุนายน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อการสวรรคตของกษัตริย์พิเรนทรา
เหยื่อจากเหตุการณ์สังหารหมู่
แก้ผู้เสียชีวิต
แก้- สมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ (พระมหากษัตริย์; พระชนกของผู้ต้องหาการถืออาวุธปืน)
- สมเด็จพระราชินีไอศวรรยา (พระราชินี; พระชนนีของผู้ต้องหา)
- มกุฎราชกุมารทิเปนทระ (ผู้ต้องหา, ภายหลังถูกยกเป็นพระมหากษัตริย์ และได้สวรรคตในเวลา 3 วันหลังก่อเหตุ)
- เจ้าชายนิรชัน (พระราชโอรส; พระอนุชาของผู้ต้องหา)
- เจ้าหญิงศรุติ (พระราชธิดา; พระขนิษฐาของผู้ต้องหา)
- นายธีเปนทระ ศาหะ (พระอนุชาในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ ซึ่งถูกถอดพระอิสริยยศ)
- เจ้าหญิงชยันตี (พระญาติในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ)
- เจ้าหญิงศานติ (พระพี่นางในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ)
- เจ้าหญิงศารทะ (พระพี่นางในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ)
- นายกุมาร ขัทคะ (พระสวามีในเจ้าหญิงศารทะ)
ผู้ได้รับบาดเจ็บ
แก้- เจ้าหญิงโศภา (พระขนิษฐาในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ)
- นายกุมาร โครัข (พระสวามีในเจ้าหญิงศรุติ)
- เจ้าหญิงโกมล (พระชายาในเจ้าชายชญาเนนทระ; ภายหลังได้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระราชินีแห่งเนปาลคนสุดท้าย)
- นางเคตากี เชสเตอร์ (พระญาติในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ ซึ่งลาออกจากฐานันดรศักดิ์)
- เจ้าชายปารัส (พระโอรสในเจ้าชายชญาเนนทระ; ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็นมกุฎราชกุมาร)