จักรวรรดิเยอรมัน
จักรวรรดิเยอรมัน (เยอรมัน: Deutsches Kaiserreich)[a] เป็นชื่ออย่างไม่เป็นทางการที่ใช้เรียกแผ่นดินของชาวเยอรมัน ตั้งแต่ที่พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ได้สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นจักรพรรดิเยอรมันในค.ศ. 1871 จนถึงการสละราชสมบัติของจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ในค.ศ. 1918 ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ในเยอรมัน ชื่อจักรวรรดิเยอรมันในภาษาเยอรมันอย่างเป็นทางการคือ ไรช์เยอรมัน (เยอรมัน: Deutsches Reich) อย่างไรก็ตาม แม้จักรวรรดิจะล่มสลายไปในปี ค.ศ. 1918 แต่ชื่อ ดอยท์เชิสไรช์ ก็ยังถูกใช้เป็นชื่อทางการของสาธารณรัฐไวมาร์ต่อไป
จักรวรรดิเยอรมัน | |||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ค.ศ.1871 –1918 | |||||||||||||||||||||||||||||
เพลงชาติ:
| |||||||||||||||||||||||||||||
จักรวรรดิเยอรมันใน ค.ศ. 1914 | |||||||||||||||||||||||||||||
ที่ตั้งของจักรวรรดิ, อาณานิคม และรัฐในอารักขา ของเยอรมัน (สีดำ) | |||||||||||||||||||||||||||||
เมืองหลวง | เบอร์ลิน 52°31′N 13°24′E / 52.517°N 13.400°E | ||||||||||||||||||||||||||||
ภาษาทั่วไป | ทางการ: เยอรมัน | ||||||||||||||||||||||||||||
ศาสนา | สำมะโน 1880 ส่วนใหญ่: 62.63% โปรเตสแตนต์ (ลูเทอแรน, ขนบปฏิรูป) ส่วนน้อย: 35.89% โรมันคาทอลิก 1.24% ยิว 0.17% ศาสนาคริสต์นิกายอื่น 0.07% อื่น ๆ | ||||||||||||||||||||||||||||
การปกครอง |
| ||||||||||||||||||||||||||||
จักรพรรดิ | |||||||||||||||||||||||||||||
• 1871–1888 | วิลเฮล์มที่ 1 | ||||||||||||||||||||||||||||
• 1888 | ฟรีดริชที่ 3 | ||||||||||||||||||||||||||||
• 1888–1918 | วิลเฮล์มที่ 2 | ||||||||||||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรี | |||||||||||||||||||||||||||||
• 1871–1890 | ออทโท ฟอน บิสมาร์ค (คนแรก) | ||||||||||||||||||||||||||||
• 1918 | เจ้าชายมัคซีมีลีอานแห่งบาเดิน (สุดท้าย) | ||||||||||||||||||||||||||||
สภานิติบัญญัติ | ไรชส์ทาค | ||||||||||||||||||||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | จักรวรรดินิยมใหม่ • สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง | ||||||||||||||||||||||||||||
18 มกราคม 1871 | |||||||||||||||||||||||||||||
16 เมษายน 1871 | |||||||||||||||||||||||||||||
15 พฤศจิกายน 1884 | |||||||||||||||||||||||||||||
28 กรกฎาคม 1914 | |||||||||||||||||||||||||||||
3 พฤศจิกายน 1918 | |||||||||||||||||||||||||||||
9 พฤศจิกายน 1918 | |||||||||||||||||||||||||||||
11 พฤศจิกายน 1918 | |||||||||||||||||||||||||||||
11 สิงหาคม 1919 | |||||||||||||||||||||||||||||
ประชากร | |||||||||||||||||||||||||||||
• 1871[4] | 41,058,792 | ||||||||||||||||||||||||||||
• 1900[4] | 56,367,178 | ||||||||||||||||||||||||||||
• 1910[4] | 64,925,993 | ||||||||||||||||||||||||||||
สกุลเงิน | มาร์ค | ||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | เยอรมนี โปแลนด์ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก รัสเซีย เบลเยียม ลิทัวเนีย เช็กเกีย | ||||||||||||||||||||||||||||
พื้นที่และประชากรไม่รวมอาณานิคมในทวีปอื่นที่ยึดครอง |
จักรวรรดิเยอรมันประกอบด้วย 26 ดินแดนตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ดินแดนส่วนใหญ่ต่างถูกปกครองและมีราชวงศ์เป็นของตนเอง ดินแดนเหล่านี้ประกอบด้วย 4 ราชอาณาจักร, 6 แกรนด์ดัชชี, 5 ดัชชี (6 ก่อนปี 1876), 7 ราชรัฐ, 3 เสรีนครรัฐ และ 1 ดินแดนในพระองค์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราชอาณาจักรปรัสเซียจะเป็นหนึ่งในดินแดนตามที่กล่าวมานี้ แต่ราชอาณาจักรปรัสเซียกลับเป็นดินแดนที่มีอาณาเขตและประชากรมากที่สุดและมากกว่าดินแดนอีก 25 แห่งที่เหลือรวมกัน ดังนั้นราชอาณาจักรปรัสเซียจึงเป็นดินแดนที่มีอำนาจครอบงำจักรวรรดิเยอรมัน
หลังปี 1850 ได้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมขึ้นอย่างรวดเร็วในรัฐเยอรมันต่าง ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมถ่านหิน, เหล็ก (และเหล็กกล้าในกาลต่อมา), เคมีภัณฑ์ และกิจการรถไฟ เมื่อแรกสถาปนาจักรวรรดิในปี 1871 จักรวรรดิมีประชากร 41 ล้านคน และในปี 1913 ได้เพิ่มขึ้นไปเป็น 68 ล้านคน ตลอดเวลา 47 ปีที่จักรวรรดิเยอรมันคงอยู่ จักรวรรดิได้กลายเป็นมหาอำนาจด้านอุตสาหกรรม, เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ของโลก โดยได้รับรางวัลโนเบลมากกว่าชาติอื่น ๆ[7]
เยอรมันกลายเป็นมหาอำนาจจากการขยายเครือข่ายทางรถไฟอย่างรวดเร็ว, มีกองทัพบกที่ทรงแสนยานุภาพที่สุดในโลก, และเป็นฐานอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ในห้วงเวลาเพียงไม่ถึงทศวรรษ กองทัพเรือเยอรมันกลายเป็นกองทัพเรือที่ทรงแสนยานุภาพเป็นลำดับสองรองจากราชนาวีอังกฤษ ในคราวที่นายกรัฐมนตรี ออทโท ฟอน บิสมาร์ค ถูกปลดโดยจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ในปี ค.ศ. 1890 นั้น เป็นห้วงเวลาที่จักรวรรดิเยอรมันรุ่งเรืองและฮึกเหิมอย่างมาก ในวิกฤตการณ์ปี 1914 จักรวรรดิเยอรมันได้ให้การสนับสนุนแก่จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และยังตกลงเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิออตโตมัน เป็นจุดกำเนิดของฝ่ายมหาอำนาจกลางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อแผนการเข้ายึดกรุงปารีสก่อนฤดูใบไม้ร่วงประสบความล้มเหลวและแนวรบด้านตะวันตกยังคงคุมเชิงกัน เยอรมันก็ถูกกองเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรปิดล้อมทำให้เกิดภาวะขาดแคลนเสบียงอาหาร แม้แนวรบด้านตะวันตกจะไม่คืบหน้า แต่เยอรมันกลับประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในแนวรบด้านตะวันออก สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ในปี 1918 ทำให้เยอรมันได้ดินแดนทางตะวันออกมาอย่างมากมาย เยอรมันได้พยายามปิดล้อมเกาะอังกฤษด้วยกองเรือดำน้ำแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนักจากราชนาวีอังกฤษได้จัดเรือคุ้มกันเรือที่มาจากอาณานิคม เหตุโทรเลขซิมแมร์มันน์ในปี 1917 ได้นำพาสหรัฐอเมริกาเข้ามาสู่สงคราม ชาวเยอรมันเริ่มอ่อนล้าจากสงครามในห้วงเวลาที่ลัทธิสังคมนิยมจากการปฏิวัติรัสเซียไหลบ่าเข้ามาสู่ชาวเยอรมัน
แนวรบที่ถูกโต้กลับและสงครามตลอดสี่ปีทำให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพงไปทั่วทำให้ประชาชนหมดศรัทธาในรัฐบาลจักรพรรดิเยอรมัน จนทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นในปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 1918 รัฐบาลจักรพรรดิเยอรมันได้ประกาศสงบศึก ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 หลังจากนั้นสองสัปดาห์ จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ทรงประกาศสละราชสมบัติและลี้ภัยทางการเมืองไปยังเนเธอร์แลนด์ จักรวรรดิเยอรมันได้แปรเปลี่ยนสถานะเป็นสาธารณรัฐไวมาร์ภายใต้ระบอบประธานาธิบดี
ภูมิหลัง
แก้สงครามนโปเลียนในต้นศตวรรษที่ 19 นั้น ได้ทำให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ของชนชาติที่พูดภาษาเยอรมันล่มสลายและแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อสงครามยุติ ได้มีการจัดการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาขึ้นในปี 1815 เพื่อจัดระเบียบทวีปยุโรปเสียใหม่ การประชุมนี้ได้ทำให้เกิดสมาพันธรัฐเยอรมันขึ้นมา เป็นการรวมกลุ่มกันอย่างหลวม ๆ ของบรรดารัฐเยอรมัน ขบวนการชาตินิยมเยอรมันได้นำพาเยอรมันเข้าสู่การเป็นประเทศที่มีความเป็นเสรีและประชาธิปไตยมากขึ้น ขบวนการได้เสนอให้ผนวกแนวคิดที่เรียกว่า "อุดมการณ์รวมกลุ่มเยอรมัน" เข้าไปในนโยบาย Realpolitik ของ ออทโท ฟอน บิสมาร์ค มุขมนตรีปรัสเซีย โดยบิสมาร์คต้องการแผ่ขยายอำนาจของราชวงศ์โฮเอ็นโซลเลิร์นแห่งปรัสเซียเข้าครอบงำรัฐเยอรมันอื่น ๆ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดคือการรวมชาติเยอรมันที่มีปรัสเซียเป็นแกนนำ และยังต้องการขจัดอิทธิพลของราชวงศ์ฮับส์บูร์กแห่งออสเตรียที่มีต่อรัฐเยอรมันเหล่านี้
บิสมาร์คได้นำปรัสเซียเข้าสู่สงครามสามครั้งและได้รับชัยชนะอย่างงดงาม คือสงครามชเลสวิชครั้งที่สองกับเดนมาร์กในปี 1864, สงครามออสเตรีย-ปรัสเซียในปี 1866 และสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในปี 1870–71
สถาปนาจักรวรรดิ
แก้หลังจากที่ปรัสเซียได้ชัยชนะจากสงครามทั้งสาม ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1870 รัฐสภาแห่งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อสมาพันธรัฐเป็นจักรวรรดิ และมีมติให้พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิ และภายหลังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้เมื่อ 1 มกราคม ค.ศ. 1871 ในช่วงการปิดล้อมกรุงปารีสนั้นเอง ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1871 พระเจ้าวิลเฮล์มก็ทรงประกาศตนขึ้นเป็นจักรพรรดิเยอรมัน ณ ห้องกระจก ในพระราชวังแวร์ซาย[8]
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน รัฐธรรมนูญเยอรมันฉบับที่สองก็ได้ถูกรับรองโดยไรชส์ทาค เมื่อวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1871 และจักรพรรดิวิลเฮล์มก็ทรงประกาศใช้ในอีกสองวันถัดมา[8] รัฐธรรมนูญฉบับที่สองนี้ มีเค้าโครงเดิมมาจากรัฐธรรมนูญแห่งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือที่ร่างขึ้นโดยบิสมาร์ค โครงสร้างทางการเมืองการปกครองยังคงเหมือนเดิม สภานิติบัญญัติของจักรวรรดิมีชื่อเรียกว่า "ไรชส์ทาค" (Reichstag) สมาชิกของไรชส์ทาคมาจากใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปของชายชาวเยอรมัน
การตรากฎหมายต่าง ๆ ต้องผ่านมติเห็นชอบจากคณะมนตรีประเทศที่เรียกว่า "บุนเดิสราท" (Bundesrat) ประกอบด้วยผู้แทนจาก 27 รัฐในจักรวรรดิ แต่ละรัฐมีสิทธิออกเสียงไม่เท่ากัน ยิ่งเป็นรัฐที่ใหญ่และประชากรมากก็จะมีสิทธิออกเสียงมาก เช่นราชอาณาจักรปรัสเซียมีสิทธิออกเสียงถึง 17 สิทธิจากทั้งหมด 58 สิทธิ ปรัสเซียต้องการเสียงจากรัฐอื่น ๆ อีกเพียงเล็กน้อยเพื่อให้เกินกึ่งหนึ่ง ส่วนอำนาจฝ่ายบริหารเป็นของจักรพรรดิหรือที่เรียกว่าไกเซอร์ (Kaiser) ซึ่งจะทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีหนึ่งคนเพื่อเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร รัฐธรรมนูญเยอรมนี้ได้ให้อำนาจจักรพรรดิไว้ค่อนข้างมาก สามารถแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้ตามพระราชอัธยาศัย รัฐบาลจักรวรรดินี้ไม่มีรัฐมนตรีประจำกระทรวง ดังนั้นแล้วนายกรัฐมนตรีจึงเปรียบเสมือน "รัฐบาลหนึ่งบุรุษ" รับผิดชอบและดูแลราชการแทบจะทุกอย่าง (ทั้งด้านการคลัง, การสงคราม, การต่างประเทศ ฯลฯ) แม้ว่าไรชส์ทาคจะทำหน้าที่ตรากฎหมาย, ยกเลิกกฎหมาย, ผ่านกฎหมาย ดังที่กล่าวมา แต่อำนาจที่แท้จริงทั้งปวงอยู่ที่จักรพรรดิ ซึ่งทรงใช้อำนาจผ่านทางนายกรัฐมนตรี
รัฐและดินแดนต่าง ๆ ในจักรวรรดิ ยังคงมีรัฐบาลเป็นของตนแต่มีอำนาจจำกัด ยกตัวอย่างเช่น การสแตมป์ไปรษณีย์และการผลิตเหรียญทอง 1 มาร์คนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลกรุงเบอร์ลิน ส่วนการผลิตเงินสกุลมาร์คที่มีมูลค่าเกินกว่านั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลท้องถิ่น รัฐต่าง ๆ มีอำนาจสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นของตนเอง บางรัฐอาจมีกำลังทหารเป็นของตนเอง อำนาจทหารทั้งหมดจะถูกริบไปอยู่ที่รัฐบาลกรุงเบอร์ลินในยามศึกสงคราม
อุตสาหกรรม
แก้การพัฒนาอุตสาหกรรมในเยอรมันดำเนินไปอย่างก้าวกระโดด ผู้ผลิตสินค้าของเยอรมันสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้การนำเข้าสินค้าจากอังกฤษลดน้อยลง ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ผลิตของเยอรมันยังสามารถแย่งชิงตลาดต่างประเทศจากอังกฤษไปได้อีกไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมโลหะและสิ่งทอของเยอรมันได้แซงหน้าอังกฤษในปี 1870 ในแง่การจัดการและประสิทธิภาพการผลิตซึ่งได้ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและโลหะของอังกฤษไม่มีที่ยืนในเยอรมันอีกต่อไป เยอรมันกลายเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในยุโรป และเป็นชาติที่ส่งออกมากเป็นอันดับสองรองจากสหราชอาณาจักร
ในตอนเริ่มแรก เยอรมันต้องพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีต่าง ๆ จากอังกฤษโดยเฉพาะรถไฟ เยอรมันใช้เวลาไม่นานในการเรียนรู้จนสามารถสร้างรถไฟและขยายโครงข่ายทางรถไฟได้ด้วยตนเอง โครงข่ายทางรถไฟได้เพิ่มจาก 21,000 กิโลเมตรในปี 1871 ไปเป็น 63,000 กิโลเมตรในปี 1913 กลายเป็นชาติที่มีโครงข่ายทางรถไฟยาวรองจากสหรัฐอเมริกา
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระหว่างการปฏิวัติอุตสาหกรรมในเยอรมนีนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระลอก ได้แก่: การรถไฟ (1877–1886), สีย้อม (1887–1896), เคมีภัณฑ์ (1897–1902) และ วิศวกรรมไฟฟ้า (1903–1918)[10] และเนื่องจากเยอรมันได้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมทีหลังอังกฤษ โรงงานอุตสาหกรรมในเยอรมนีถูกออกแบบได้มีประสิทธิภาพมากกว่าโรงงานในอังกฤษ เยอรมันมีการลงทุนด้านการวิจัยอย่างหนักหน่วงมากกว่าอังกฤษ โดยเฉพาะการวิจัยด้านเคมี, มอเตอร์ และไฟฟ้า ส่งผลให้นักฟิสิกส์และนักเคมีชาวเยอรมันเป็นผู้ผูกขาดรางวัลโนเบลกว่าหนึ่งในสามของจำนวนรางวัลโนเบลที่มอบให้แก่บุคคลสัญชาติเยอรมัน การรวมกลุ่มของบริษัทในเยอรมัน ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้แต่ละบริษัทสามารถใช้ทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง
ก่อนปี 1900 อุตสาหกรรมสีย้อมของเยอรมันได้เข้าครอบงำตลาดสีย้อมของโลก[11] ผู้ผลิตหลักสามรายได้แก่ BASF, Bayer และ Hoechst ตลอดจนผู้ผลิตรายย่อยอีกห้ารายของเยอรมัน สามารถผลิตสีย้อมได้กว่าหลายร้อยสี ซึ่งในปี 1913 ผู้ผลิตทั้งแปดรายนี้ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 90% ในตลาดสีย้อมของโลก การผลิตกว่า 80% เป็นการส่งออกเพื่อป้อนตลาดโลก นอกจากนี้ ผู้ผลิตหลักสามรายยังได้ร่วมมือกับอุตสาหกรรมต้นน้ำเพื่อผลิตวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่าง เวชภัณฑ์, ฟิล์มถ่ายภาพ, สารเคมีทางการเกษตร และไฟฟ้าเคมี
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อุตสาหกรรมในเยอรมนีได้เปลี่ยนไปสู่การผลิตเพื่อป้อนสงคราม ความต้องถ่านหินและแร่เหล็กได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเพื่อใช้ในการผลิตปืนใหญ่และต่อเรือรบ ความต้องการด้านเคมีภัณฑ์สำหรับสังเคราะห์เป็นผลิตภัณฑ์ก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน เนื่องจากอังกฤษและพันธมิตรของอังกฤษได้งดส่งออกสินค้าเหล่านี้แก่เยอรมัน
อาณาเขต
แก้รัฐและดินแดนในจักรวรรดิ
แก้ก่อนการรวมชาติเยอรมันในปี 1871 ชนชาติเยอรมันแบ่งออกเป็น 27 รัฐอิสระ รัฐเหล่านี้มีฐานะเป็น ราชอาณาจักร, แกรนด์ดัชชี, ดัชชี, ราชรัฐ, เสรีนคร และดินแดนในพระองค์ รัฐที่มีสถานะเป็นเสรีนคร จะถูกปกครองด้วยรัฐบาลพลเรือน ในขณะที่รัฐอื่น ๆ ของจักรวรรดิต่างมีราชวงศ์ของตนเองเป็นผู้ปกครอง ในบรรดารัฐทั้งหมดนี้ ราชอาณาจักรปรัสเซียถือเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด ครอบคลุมพื้นที่สองในสามของดินแดนทั้งจักรวรรดิ และมีประชากรคิดเป็นร้อยละ 61 ของทั้งจักรวรรดิ
|
อาณานิคม
แก้บิสมาร์คก่อตั้งอาณานิคมเยอรมันจำนวนมากระหว่างช่วงทศวรรษที่ 1880 ในแอฟริกาและแปซิฟิก แต่บิสมาร์คไม่ค่อยให้ความสำคัญในนโยบายอาณานิคมมากนัก ด้วยเพราะการต่อต้านรัฐบาลอาณานิคมเยอรมันอย่างรุนแรงจากชนพื้นเมือง แต่นโยบายอาณานิคมเป็นที่สนใจของกลุ่มผู้เคร่งศาสนาซึ่งได้ทำการสนับสนุนเหล่ามิชชันนารีอย่างกว้างขวางในดินแดนเหล่านั้น
รัฐบาลเยอรมันมีความต้องการสร้างอาณานิคมตั้งแต่ทศวรรษที่ 1848 แล้ว บิสมารค์ได้เริ่มกระบวนการก่อตั้งอาณานิคมบางส่วน เมือถึงปี ค.ศ. 1884 เยอรมนีได้ก่อตั้งอาณานิคม นิวกินีของเยอรมัน เมื่อถึงช่วงทศวรรษที่ 1890 การขยายอาณานิคมของเยอรมันในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (ตัวอย่างเช่น อ่าวเจียวโชว และ เทียนจิน ในประเทศจีน หมู่เกาะมาเรียนา, เกาะคาโรไลน์, ซามัว) นำไปสู่การเผชิญหน้ากับสหราชอาณาจักร, รัสเซีย, ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาในการแย่งชิงอาณานิคมในทวีปแอฟริกา[12] ทำให้เกิด สงครามเฮเรโรในดินแดน ประเทศนามิเบีย ปัจจุบัน ในช่วงปี ค.ศ. 1906-ค.ศ. 1907 ส่งผลให้เกิด การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเฮเรโรและนามานคิว[13]
ประชากรศาสตร์
แก้ประชากรจักรวรรดิราว 92% พูดภาษาเยอรมันเป็นหลัก รองลงมา 5.2% พูดภาษาโปแลนด์เป็นหลัก มีประชากรราว 0.5% ที่พูดฝรั่งเศสเป็นหลัก ซึ่งกระจุกตัวอยู่ในอาลซัส-โลทาริงเกีย
สำมะโนปี 1900
แก้ภาษา | ประชากร | ร้อยละ (%) |
---|---|---|
เยอรมัน | 51,883,131 | 92.05 |
ภาษาเยอรมัน และ ภาษาอื่น ๆ | 252,918 | 0.45 |
โปแลนด์ | 3,086,489 | 5.48 |
ฝรั่งเศส | 211,679 | 0.38 |
มาซูเรียน, | 142,049 | 0.25 |
เดนมาร์ก | 141,061 | 0.25 |
ลิทัวเนีย | 106,305 | 0.19 |
คาซูเรียน | 100,213 | 0.18 |
Wendish (Sorbian) | 93,032 | 0.16 |
ดัตช์ | 80,361 | 0.14 |
อิตาลี | 65,930 | 0.12 |
โมราเวีย | 64,382 | 0.11 |
เช็ก | 43,016 | 0.08 |
ฟรีสแลนด์ | 20,677 | 0.04 |
อังกฤษ | 20,217 | 0.04 |
รัสเซีย | 9,617 | 0.02 |
สวีเดน | 8,998 | 0.02 |
ฮังการี | 8,158 | 0.01 |
สเปน | 2,059 | 0.00 |
โปรตุเกส | 479 | 0.00 |
ภาษาอื่น ๆ | 14,535 | 0.03 |
สัมมะโนประชากร เมื่อ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1900 | 56,367,187 | 100 |
-
ภาษาฝรั่งเศส
-
ภาษาอิตาลี
-
non-German
ศาสนา
แก้พื้นที่ | โปรเตสแตนต์ | คาทอลิก | คริสต์นิกายอื่น | ยิว | ศาสนาอื่น | |||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
จำนวน | % | จำนวน | % | จำนวน | % | จำนวน | % | จำนวน | % | |
ปรัสเซีย | 17,633,279 | 64.64 | 9,206,283 | 33.75 | 52,225 | 0.19 | 363,790 | 1.33 | 23,534 | 0.09 |
บาวาเรีย | 1,477,952 | 27.97 | 3,748,253 | 70.93 | 5,017 | 0.09 | 53,526 | 1.01 | 30 | 0.00 |
ซัคเซิน | 2,886,806 | 97.11 | 74,333 | 2.50 | 4,809 | 0.16 | 6,518 | 0.22 | 339 | 0.01 |
เวือร์ทเทิมแบร์ค | 1,364,580 | 69.23 | 590,290 | 29.95 | 2,817 | 0.14 | 13,331 | 0.68 | 100 | 0.01 |
บาเดิน | 547,461 | 34.86 | 993,109 | 63.25 | 2,280 | 0.15 | 27,278 | 1.74 | 126 | 0.01 |
เอ็ลซัส-โลทริงเงิน | 305,315 | 19.49 | 1,218,513 | 77.78 | 3,053 | 0.19 | 39,278 | 2.51 | 511 | 0.03 |
รวมทั้งหมด | 28,331,152 | 62.63 | 16,232,651 | 35.89 | 78,031 | 0.17 | 561,612 | 1.24 | 30,615 | 0.07 |
ดูเพิ่ม
แก้หมายเหตุ
แก้- ↑ เรียกอีกอย่างว่า
- ไรซ์ที่สอง (เยอรมัน: Zweites Reich) คำศัพท์นี้ถูกสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1923 และส่วนใหญ่ถูกใช้โดยพวกนาซี ในส่วนของการใช้คำโดยนักประวัติศาสตร์นั้น ไม่นิยมนำคำว่า "ไรซ์ที่สอง" มาใช้[6])
- ไคเซอร์ไรซ์ (Kaiserreich)
อ้างอิง
แก้- ↑ Preble, George Henry, History of the Flag of the United States of America: With a Chronicle of the Symbols, Standards, Banners, and Flags of Ancient and Modern Nations, 2nd ed, p. 102; A. Williams and co, 1880
- ↑ Fischer & Senkel 2010, p. 90.
- ↑ Statement of Abdication of Wilhelm II
- ↑ 4.0 4.1 4.2 "Population statistics of the German Empire, 1871" (ภาษาเยอรมัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 April 2007. สืบค้นเมื่อ 25 April 2007.
- ↑ "German Empire: administrative subdivision and municipalities, 1900 to 1910" (ภาษาเยอรมัน). สืบค้นเมื่อ 25 April 2007.
- ↑ "German Empire | Facts, History, Flag, & Map". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 November 2021.
- ↑ "Nobel Prizes by Country – Evolution of National Science Nobel Prize Shares in the 20th Century, by Citizenship (Juergen Schmidhuber, 2010)". Idsia.ch. สืบค้นเมื่อ 2 December 2012.
- ↑ 8.0 8.1 Case 1902, p. 140
- ↑ Edmond Taylor, The fossil monarchies: the collapse of the old order, 1905–1922 (1967) p 206
- ↑ Jochen Streb, et al. "Technological and geographical knowledge spillover in the German empire 1877–1918", Economic History Review, May 2006, Vol. 59 Issue 2, pp. 347–373
- ↑ John J. Beer, The Emergence of the German Dye Industry (1959).
- ↑ L. Gann and Peter Duignan, The Rulers of German Africa, 1884–1914 (1977) focuses on political and economic history; Michael Perraudin and Jürgen Zimmerer, eds. German Colonialism and National Identity (2010) focuses on cultural impact in Africa and Germany.
- ↑ Dedering, Tilman (1993). "The German‐Herero war of 1904: Revisionism of Genocide or Imaginary Historiography?". Journal of Southern African Studies. 19 (1): 80–88. doi:10.1080/03057079308708348. ISSN 0305-7070.
- ↑ "Fremdsprachige Minderheiten im Deutschen Reich" (ภาษาเยอรมัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-02-06. สืบค้นเมื่อ 20 January 2010.
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
แก้- Barker, J. Ellis. Modern Germany; her political and economic problems, her foreign and domestic policy, her ambitions, and the causes of her success (1907)
- Berghahn, Volker Rolf. Modern Germany: society, economy, and politics in the twentieth century (1987) ACLS E-book
- Berghahn, Volker Rolf. Imperial Germany, 1871–1914: Economy, Society, Culture, and Politics (2nd ed. 2005)
- Berghahn, Volker Rolf. "German Colonialism and Imperialism from Bismarck to Hitler". German Studies Review, vol. 40, no. 1 (2017) pp. 147–162 Online
- Blackbourn, David. The Long Nineteenth Century: A History of Germany, 1780–1918 (1998) excerpt and text search
- Blackbourn, David, and Geoff Eley. The Peculiarities of German History: Bourgeois Society and Politics in Nineteenth-Century Germany (1984) ISBN 0-19-873058-6
- Blanke, Richard. Prussian Poland in the German Empire (1981)
- Brandenburg, Erich. From Bismarck to the World War: A History of German Foreign Policy 1870–1914 (1927) online .
- Carroll, E. Malcolm. Germany and the great powers, 1866–1914: A study in public opinion and foreign policy (1938); 862pp; written for advanced students.
- Cecil, Lamar. Wilhelm II: Prince and Emperor, 1859–1900 (1989); vol 2: Wilhelm II: Emperor and Exile, 1900–1941 (1996) vol 2 online
- Chickering, Roger. Imperial Germany and the Great War, 1914–1918 (2nd ed. 2004) excerpt and text search
- Clark, Christopher. Iron Kingdom: The Rise and Downfall of Prussia, 1600–1947 (2006), the standard scholarly survey; online
- Dawson, William Harbutt. The Evolution of Modern Germany (1908), 503 pages, covers 1871–1906 with focus on social and economic history and colonies
- Dawson, William Harbutt. Bismarck and state socialism; an exposition of the social and economic legislation of Germany since 1870 (1890) 175 pages
- Dawson, William Harbutt. Municipal life and government in Germany (1914); 507 pages, describes the workings of local government and bureaucracy
- Dawson, William Harbutt. Germany and the Germans (1894) 387pp; politics and parties, Volume 2
- Eyck, Erich. Bismarck and the German Empire (1964) excerpt and text search
- Fife, Robert Herndon. (1916). The German Empire between Two Wars; a Study of the Political and Social Development of the Nation between 1871 and 1914. New York: Macmillan Company.
- Fischer, Fritz. From Kaiserreich to Third Reich: Elements of Continuity in German History, 1871–1945. (1986). ISBN 0-04-943043-2.
- Geiss, Imanuel. German Foreign Policy, 1871–1914 (1979) excerpt
- Haardt, Oliver FR. "The Kaiser in the Federal State, 1871–1918." German History 34.4 (2016): 529–554. online
- Hayes, Carlton J. H. (1917), "The History of German Socialism Reconsidered", American Historical Review, 23 (1): 62–101, doi:10.2307/1837686, JSTOR 1837686
- Hewitson, Mark. "Germany and France before the First World War: a reassessment of Wilhelmine foreign policy." English Historical Review 115.462 (2000): 570–606; argues Germany had a growing sense of military superiority
- Holborn, Hajo. A History of Modern Germany: 1840–1945 (1969), pp. 173–532 online
- Hoyer, Katja. Blood and Iron: The Rise and Fall of the German Empire 1871-1918 (2021)
- Jefferies, Mattew. Imperial Culture in Germany, 1871–1918. (Palgrave, 2003) ISBN 1-4039-0421-9.
- Kennedy, Paul. The Rise of the Anglo-German Antagonism, 1860–1914 (2nd ed. 1988) ISBN 1-57392-301-X
- Koch, Hannsjoachim W. A constitutional history of Germany in the nineteenth and twentieth centuries (1984).
- Kurlander, Eric. The Price of Exclusion: Ethnicity, National Identity, and the Decline of German Liberalism, 1898–1933 (2007).
- Levy, Richard S. The Downfall of the Anti-Semitic Political Parties in Imperial Germany (Yale University Press, 1975).
- Levy, Richard S. ed. Antisemitism: A historical encyclopedia of prejudice and persecution (2 vol Abc-clio, 2005).
- Milward, Alan S. and S. B. Saul. The Development of the Economies of Continental Europe: 1850–1914 (1977) pp. 17–70.
- Mombauer, Annika and Wilhelm Deist, eds. The Kaiser: New Research on Wilhelm II's Role in Imperial Germany (2003)
- Mommsen, Wolfgang. Imperial Germany 1867–1918: Politics, Culture, and Society in an Authoritarian State. (1995). ISBN 0-340-64534-2.
- Nipperdey, Thomas. Germany from Napoleon to Bismarck (1996) dense coverage of chief topics; online
- Padfield, Peter. The Great Naval Race: Anglo-German Naval Rivalry 1900–1914 (2005)
- Ragins, Sanford. Jewish Responses to Anti-Semitism in Germany, 1870–1914: A Study in the History of Ideas (ISD, 1980).
- Reagin, Nancy (2001). "The Imagined Hausfrau: National Identity, Domesticity, and Colonialism in Imperial Germany". Journal of Modern History. 72 (1): 54–86. doi:10.1086/319879. JSTOR 10.1086/319879. PMID 18335627. S2CID 37192065.
- Retallack, James. Germany in the Age of Kaiser Wilhelm II, (1996) ISBN 0-312-16031-3.
- Retallack, James. Imperial Germany 1871–1918 (2008)
- Rich, Norman. "The Question of National Interest in Imperial German Foreign Policy: Bismarck, William II, and the Road to World War I." Naval War College Review (1973) 26#1: 28-41. online
- Ritter, Gerhard. The Sword and the Scepter; the Problem of Militarism in Germany. (4 vol University of Miami Press 1969–1973)
- Richie, Alexandra. Faust's Metropolis: A History of Berlin (1998), 1139 pages, pp. 188–233
- Sagarra, Eda. A Social History of Germany, 1648–1914 (1977) online
- Scheck, Raffael. "Lecture Notes, Germany and Europe, 1871–1945" (2008), a brief textbook by a leading scholar
- Schollgen, Gregor. Escape into War? The Foreign Policy of Imperial Germany. (Berg, 1990) ISBN 0-85496-275-1.
- Smith, Helmut Walser, ed. The Oxford Handbook of Modern German History (2011), 862 pp; 35 essays by specialists; Germany since 1760 excerpt
- Smith, Woodruff D. The German Colonial Empire (1978
- Sperber, Jonathan. The Kaiser's Voters: Electors and Elections in Imperial Germany (1997) online review
- Stern, Fritz. Gold and Iron: Bismarck, Bleichroder, and the Building of the German Empire (1979) Bismarck worked closely with this leading banker and financier excerpt and text search
- Steinberg, Jonathan. Bismarck: A Life (2011), a recent scholarly biography; emphasis on Bismarck's personality online
- Steinmetz, George (2007) The Devil's Handwriting: Precoloniality and the German Colonial State in Qingdao, Samoa, and Southwest Africa. Chicago: University of Chicago Press. ISBN 978-0226772417
- Taylor, A.J.P. Bismarck: The Man and the Statesman (1967) online
- Wehler, Hans-Ulrich. The German Empire, 1871–1918. (Berg, 1985). ISBN 0-907582-22-2
- Wildenthal, Lora. German Women for Empire, 1884–1945 (2001)
- ภูมิประวัติศาสตร์
- Berghahn, Volker Rolf. "Structure and Agency in Wilhelmine Germany: The history of the German Empire, Past, present and Future," in Annika Mombauer and Wilhelm Deist, eds. The Kaiser: New Research on Wilhelm II's Role in Imperial Germany (2003) pp. 281–293, historiography
- Chickering, Roger, ed. Imperial Germany: A Historiographical Companion (1996), 552pp; 18 essays by specialists
- Dickinson, Edward Ross. "The German Empire: an Empire?" History Workshop Journal Issue 66, (Autumn 2008) online in Project MUSE, with guide to recent scholarship
- Eley, Geoff; Retallack, James (2004), "Introduction", ใน Eley, Geoff; Retallack, James (บ.ก.), Wilhelminism and Its Legacies: German Modernities, Imperialism, and the Meanings of Reform, 1890–1930, ISBN 1571816879
- Jefferies, Matthew. Contesting the German Empire 1871–1918 (2008) excerpt and text search
- Müller, Sven Oliver, and Cornelius Torp, ed. Imperial Germany Revisited: Continuing Debates and New Perspectives (2011)
- Reagin, Nancy R. "Recent Work on German National Identity: Regional? Imperial? Gendered? Imaginary?" Central European History (2004) v 37, pp. 273–289 doi:10.1163/156916104323121483
- ข้อมูลปฐมภูมิ
- Dawson, William Harbutt. Germany at Home (1908) 275 pp; popular description of social life in villages and cities
- Vizetelly, Henry. Berlin Under the New Empire: Its Institutions, Inhabitants, Industry, Monuments, Museums, Social Life, Manners, and Amusements (2 vol. London, 1879) Volume 2
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- แผนที่จักรวรรดิเยอรมัน ค.ศ. 1871 (อังกฤษ)
- จักรวรรดิเยอรมัน: เขตการปกครองและเทศบาล ค.ศ. 1900 ถึง 1910 (เยอรมัน)
- Das Kaiserreich - Deutsches Reich 1871-1918 (เยอรมัน)
- เยอรมนี: ประมุขแห่งรัฐ: ค.ศ. 1871-1945 เก็บถาวร 2008-05-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
- German Empire (อังกฤษ) ที่วิกิซอร์ซ