อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร
อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร (อิตาลี: Alessandro Del Piero) เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพชาวอิตาลี ซึ่งเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าเป็นหลัก แม้ว่าเขาจะสามารถเล่นในตำแหน่งตัวรุกได้หลายตำแหน่งก็ตาม[2][3][4][5] ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 หลังจากที่เขาแขวนสตั๊ด เขาทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฟุตบอลทางโทรทัศน์ให้กับ Sky Sports Italia[6]
ข้อมูลส่วนตัว | |||
---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร | ||
วันเกิด | 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 | ||
สถานที่เกิด | โกเนลยาโนประเทศอิตาลี | ||
ส่วนสูง | 1.74 ม. (5 ft 9 in)[1] | ||
ตำแหน่ง | กองหน้า | ||
สโมสรอาชีพ* | |||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) |
1991–1993 | ปาโดวา | 14 | (1) |
1993–2012 | ยูเวนตุส | 701 | (289) |
2012–2014 | ซิดนีย์ เอฟซี | 48 | (24) |
2014 | เดลีไดนาโมส์ | 10 | (1) |
ทีมชาติ‡ | |||
1995–2008 | อิตาลี | 91 | (27) |
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 2012 ‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด ณ วันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 2012 |
สโมสร
แก้เดล ปีเอโร เริ่มต้นอาชีพ นักฟุตบอลของเขากับ สโมสรฟุตบอลปาโดวา ตั้งแต่อายุ 16 ปี และย้ายมาอยุ่กับสโมสรฟุตบอลยูเวนตุสในปี ค.ศ. 1993 โดยลงเล่นให้กับยูเวนตุสนัดแรก ในการพบกับ ฟอจจา และมายิงประตูได้นัดในถัดมาที่พบกับ เรจจิน่า เขาสามารถยิง แฮทริกได้ครั้งแรกในนัดที่พบกับ ปาร์มา ตั้งแต่เดล ปีเอโรมาค้าแข่งอยู่กับยูเวนตุส เขาก็พายูเวนตุสคว้าแชมป์ต่างๆ มากมายหลายรายการ ทั้งแชมป์ลีก และแชมป์สโมสรยุโรป
ในฤดูกาล 1998/99 เดล ปีเอโรก็ต้องพบกับช่วงเลวร้ายที่สุดของชีวิตนักฟุตบอล เมื่อนัดที่ ยูเวนตุสพบกับอูดิเนเซ่ โดยนัดนี้เองที่เดล ปีเอโร ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงบริเวณหัวเข่า ซึ่งทำให้เอ็นหัวเข่าขาด และต้องพักรักษาตัวถึง 1 ฤดูกาลเต็มๆ แต่หลังจากการรักษาตัว เดล ปีเอโรก็เริ่มกลับมาลงเล่นให้กับทีมอีกครั้ง แล้วก็พายูเวนตุส คว้าแชมป์ลีกได้อีก 2 สมัย ทั้งยังได้เข้าชิงชนะเลิศ ฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกอีกด้วย ปัจจุบันเขาเป็นกัปตันทีมยูเวนตุสและดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร โดยตอนนี้เขายิงไปแล้วทั้งสิ้น 195 ประตู แต่จบฤดูกาล 2005/06 ยูเวนตุสถูกปรับตกชั้น เนื่องจากคดีล้มบอล ทำให้ยูเวนตุสต้องลงไปแข่งใน ซีเรียบีทำให้ดาวดังของทีมหลายคนต้องออกจากสโมสรไป แต่เดล ปีเอโร ตัดสินใจอยู่ช่วยทีมต่อไป พร้อมกับ พาเวล เนดเวด และ จานลุยจิ บุฟฟอน ซึ่งเป็นซุปเปอร์สตาร์ที่เหลืออยู่ ทำให้ตอนนี้ ทั้ง 3 กลายเป็นตำนานของสโมสรฟุตบอลยูเวนตุสไปแล้ว
และในตอนนี้เดล ปีเอโรเองก็ได้กลายเป็นนักเตะประวัติศาสตร์ของยูเวนตุสไปแล้ว โดยล่าสุดเขาทำสถิติยิงประตูมากที่สุดตลอดกาลของสโมสรยูเวนตุสที่แต่เดิมเป็นของ จันปีเอโร โบนิแปร์ตี ซึ่งทำไว้ทั้งหมด 182 ประตู โดยประตูประวัติศาสตร์ของเดล ปีเอโรเกิดขึ้นในนัดที่พบกับ ฟิออเรนติน่า โดยลูกแรกเขายิงประตูด้วยเท้าซ็ย อันเป็นประตูที่183 และหลังจากนั้นก็มาจากการยิงลูกฟรีคิกซึ่งเป็นประตูที่ 184 และจากนั้นก็ยิงจุดโทษซึ่งเป็นประตูที่ 185 นับว่าเป็นการทำลายสถิติที่สวยงามอย่างยิ่ง ปัจจุบันเดล ปีเอโรยังคงทำประตูต่อไปเรื่อยๆจนตอนนี้เขายิงประตูภายใต้เสื้อยูเวนตุสไปแล้วทั้งสิ้น 224 ประตู จาก 534 นัด ที่ลงสนาม นอกจากนี้เขายังทำลายสถิติลงสนามมากที่สุดด้วยโดยปัจจุบันเดล ปีเอโรลงสนามในเสื้อทีมยูเวนตุสไปแล้ว 560 นัดนับเป็นสถิติสูงสุดในตอนนี้ และได้ทำลายสถิติของ เกตาโน ชีเรีย ซึ้งทำไว้ทั้งสิ้น 552 นัด การลงสนามเทียบเท่า เกตาโน ชีเรียคือนัด กัลโซ่ซีรีเอ อิตาลี นัดที่ 30 ในการบุกทุบ อินเตอร์ มิลานในบ้าน 1-2 ในนัดนั้นอาเล่มีโอกาสหลายครั้ง ในส่วนของรางวัลส่วนตัว เดล ปีเอโรนั้นได้รับการเสนอชื่อ จากเปเล่ให้ติด ฟีฟ่า 100 ซึ่งเป็นรายชื่อนักฟุตบอล125คนที่ ที่ถูกเสนอชื่อโดยเปเล่ และล่าสุดยังได้รับรางวัล รองเท้าทองคำ ในปี 2007 ซึ่งเป็นรางวัลที่จะมอบให้แก่นักเตะที่มีอายุ29ปีขึ้นไปที่ทำผลงานได้อย่างดีในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกด้วย
ในฤดูกาล 07/08 เดล ปีเอโรสามารถพายูเวนตุสที่พึ่งได้เลื่อนชั้นขึ้นมาจาก ซีรี่ บี คว้าตำแหน่งอันดับที่3ของซีรี่ เอ ทำให้ทีมได้ไปเตะฟุตบอลสโมสรยุโรปในฤดูกาลหน้า พร้อมทั้งเขาสามารถยิงประตูได้ถึง 21 ประตู ซึ่งเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีกอิตาลีอีกด้วย และเป็นครั้งแรกของเดล ปีเอโรที่ได้รับรางวัลนี้ นับว่าฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่เยี่ยมยอดที่สุดของเขา นับจากหายเจ็บเมื่อครั้งปี 1998ทีเดียว ซึ่งจากการทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ ส่งผลให้เขากลับไปติดทีมชาติอิตาลีอีกครั้ง เพื่อไปแข่งขันในศึกยูโร 2008 ในกลางปีนี้อีกด้วย
ฤดูกาล 08/09 มาถึง ยูเวนตุสได้เสริมทีมมาอย่างดีพอวมควร และเดล ปีเอโรเองก็ยังเป็นกัปตันผู้นำทีมเช่นเดิม ยูเวนตุสได้กลับไปเล่นในถ้วยยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกอีกครั้งโดยหนนี้ในรอบคัดเลือกรอบที่3 โดยการเอาชนะทีมอาร์ทมีเดียมาได้ ในนัดแรกแข่งขันกันที่สนามโอลิมปิโก้ที่เมืองตูริน โดยยูเวนตุสเอาชนะไปได้ด้วยผลการแข่งขัน 4-0ในนัดแรก และเดล ปีเอโรก็สามารถทำประตูที่สุดสวยในนัดนี้ได้อีกด้วย ก่อนที่นัดต่อมายูเวนตุสจะบุกไปเสมอกับอาร์ทมีเดียด้วยผลการแข่งขัน 1-1 ทำให้ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มด้วยประตูรวม 5-1 โดยในรอบแบ่งกลุ่มนั้น ยูเวนตุสต้องไปอยู่ในกลุ่มที่แข็งแกร่งมาก เมื่อมีทีมอย่าง เรอัลมาดริด แห่งสเปน และเซนิธ เซ็นปีเตอร์เบิร์กยอดทีมจากรัสเซียร่วมกลุ่มอยู่ด้วย ส่วนอีกทีมที่อยู่ในกลุ่มนี้คือ เอฟซี บาเต้ ซึ่งเป็นทีมจากประเทศเบรารุส ในนัดแรกนั้นยูเวนตุสเล่นในโอลิมปิโก้บ้านของพวกเขา เอาชนะ เซนิธ เซ็นปีเตอร์เบิร์กไปได้ด้วยผลการแข่งขัน 1-0 และก็เป็น เดล ปีเอโรที่ยิงประตูชัยด้วยลูกฟรีคิ๊กจากระยะไกล เข้าไปอย่างสวยงาม ส่วนในนัดที่2 ยูเวนตุสบุกไปทำได้แค่เสมอกับ เอฟซี บาเต้เท่านั้น ด้วยผลการแข่งขัน 1-1 ส่วนในลีกนั้น ยูเวนตุสยังไม่อาจหาฟอร์มเก่งได้ และเดล ปีเอโรสามารถทำได้เพียงประตูเดียวเท่านั้นจากการยิงฟรีคิ๊ก ในนัดที่ยูเวนตุสแพ้ให้กับ ปาแลร์โม่ในบ้านของตัวเอง ด้วยผลการแข่งขัน 1-2
ทีมชาติ
แก้เดล ปีเอโร ได้ทำศึกฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1998 ซึ่งครั้งนั้นเขามาแรงมาก เนื่องจากหลายคนคาดว่าเขาจะเป็นตัวแทนของ โรแบร์โต้ บาจโจ้ ตำนานเปียทองคำของอิตาลี แต่ในครั้งนั้น บาจโจ้ก็ยังติดฟุตบอลทีมชาติอิตาลีอยู่เหมือนกัน ซึ่ง ผลงานในระดับชาติคงเดล ปีเอโรนั้น ไม่ค่อยดีนัก ช่วงหลังมาเขาไม่ค่อยได้ลงเป็นตัวจริงบ่อยเท่าไร โดยในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 2000นั้น อิตาลีได้เข้าชิงชนะเลิศ พบกับฝรั่งเศสอิตาลีได้ประตูขึ้นนำก่อนจาก มาร์โก เดลเวคคิโอ้ และเกมส์ทำท่าจะดี และเดล ปีเอโร ก็ได้ลงมาในครึ่งหลัง
หลังจากนั้นเขามีโอกาสทองในการทำประตูฝรั่งเศสถึง2ครั้ง แต่เขายิงไม่ผ่านมือของ ฟาเบียง บากเตซ หลังจากนั้นฝรั่งเศสก้มาตีเสมอได้ในช่วงท้ายเกมส์จึงทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ และในช่วงต่อเวลานี่เอง ดาวิด เทรเซเก้ ก็มายิงประตูให้ฝรั่งเศสพลิกกลับมาชนะอิตาลี และได้แชมป์ยูโร2000ไปครอง ซึ่งนั่นเป็นฝันร้ายของเดล ปีเอโรในครั้งนั้น ต่อมาในศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นเจ้าภาพร่วมกันนั้น อิตาลีฟอร์มไม่ค่อยจะดีนัก โดยนัดแรกชนะได้แต่นัดที่2กลับแพ้ ทำให้นัดที่3ต้องไม่แพ้สถานเดียว โดยนัดทื่3พบกับ เม็กซิโกโดยอิตาลีต้องพบฝันร้ายเมื่อเม็กซิโก ขึ้นนำไปก่อนในครึ่งแรก จากนั้นพอมาครึ่งหลัง เดล ปีเอโร ได้โอกาสลงสนาม และเขาก็เป็นผู้โหม่งตีเสมอให้อิตาลีรอดพ้นจากการตกรอบแรกได้ แต่อิตาลีก็ต้องมาตกรอบในนัดถัดมาเมื่อพบกับเกาหลีใต้ซึ้งเป็นเจ้าภาพร่วมในครั้งนั้น และต่อมาในปี 2004 ซึ่งมีศึกยูโรนั้น อิตาลีก็ต้องจบเส้นทางเพียงแค่รอบแรกเท่านั้น แต่ปี 2006 อิตาลีกลับมาอีกครั้งในฟุตบอลโลก 2006
ซึ่งครั้งนี้อิตาลีมีทั้งฟอร์มและโชค โดยอิตาลีสามารถชนะคู่แข่งมาได้จนถึงรอบรองชนะเลิศ พวกเขาต้องพบกับเจ้าภาพเยอรมัน และอิตาลีก็มาได้ประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษ2นาทีสุดท้ายจาก ฟาบิโอ กรอสโซ่ และเดล ปีเอโร ก็ยิงลูกสุดสวยในนาทีสุดท้าย และเป็นการลงมาพลิกเกมส์ให้อิตาลีในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้อิตาลีผ่านเข้ารอบ ชิงชนะเลิศไปพบกับฝรั่งเศสตู่แค้นเก่า เกมในเวลาเสมอกัน1-1 จึงต้องต่อเวลาแต่ยังไม่มีใครทำอะไรกันได้ ทำให้ต้องยิงจุดโทษตัดสิน และอิตาลีก็คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จเป็นสมัยที่4 และเป็นแชมป์โลก ครั้งแรกของเดล ปีเอโรอีกด้วย
ช่วงหลังนั้นเดล ปีเอโรห่างหายจากทีมชาติไปนาน เนื่องจากเทรนเนอร์โรแบร์โต้ โดนาโดนี่ไม่ประทับใจฟอร์มของเขาในนัดที่เจอกับทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งนัดนั้นเดล ปีเอโรเล่นได้ไม่ดีนัก ทำให้เขาหลุดจากทีมชาติไปนานหลายเดือน ก่อนที่เดล ปีเอโรกลับมาสวมเสื้อทีมชาติอิตาลีอีกครั้งในศึกฟุตบอล ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี2008 ซึ่งครั้งนี้ เดล ปีเอโร ได้ลงเล่นทั้งหมด3นัด ในการเจอกับฮอลแลน โรมาเนีย และสเปน ซึ่งอิตาลีก็ได้แพ้จุดโทษทีมชาติสเปนทำให้อิตาลีต้องตกรอบ8ทีมสุดท้ายไป
ชีวิตส่วนตัว
แก้เดล ปีเอโรลืมตาดูโลกครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517 ที่เมือง โคเนญาโน่ Conegliano ประเทศอิตาลี ครอบครัวของเดล ปีเอโรนั้นมีทั้งหมด 4คน ดังนี้ มีคุณแม่บรูน่าเป็นแม่บ้าน คุณพ่อจิโน่เป็นช่างไฟ พี่ชายสเตฟาโน่ และตัวของอาเลสซันโดรเอง ปัจจุบันคุณพ่อจิโน่ เดล ปีเอโรได้เสียชีวิตแล้วในปี 2001 ส่วนพี่ชายสเตฟาโน่ เดล ปีเอโรนั้นก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้น้องชาย ในตอนที่เดล ปีเอโรอายุได้ 13ปี เขาก็เล่นฟุตบอลให้กับทีม เวนเดเมียโน่ ซึ่งหลังจากนั้นก็มีแมวมองของปาโดวามาชวนไปร่วมทีม ในด้านความรักเดล ปีเอโรได้แต่งงานกับ โซเนีย อโมรูโซ่(นามสกุลก่อนแต่ง)ในปี 2005 โดยที่ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปี 1999 ในวันที่ 22 ตุลาคม 2007 อโมรูโซ่ได้ให้กำเนิดลูกชายชื่อว่า โทเบียส เดล ปีเอโร และหลังจากนั้นวันที่ 4 พฤษภาคม 2008 ทั้งคู่ก็ได้ลูกสาวอีกคน ชื่อว่า โดโรเธีย
เกียรติประวัติ
แก้- 7 แชมป์ เซเรียอา : 1994/95,1996/97,1997/98,2001/02,2002/03 (2004/05,2005/06 ถูกเรียกคืน สืบเนื่องจากการรับโทษจากคดีกัลโช่โปลีของสโมสรยูเวนตุส)
- 1 แชมป์ เซเรียบี : 2006/07
- 4 แชมป์ อิตาเลียน ซูเปอร์ คัพ : 1995,1997,2002,2003
- 1 แชมป์ โคปป้า อิตาเลีย : 1994/95
- 1 แชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก : 1995/96
- 3 เข้าชิง ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก : 1996/97,1997/98,2002/03
- 1 แชมป์ ยูโรเปี้ยน ซุปเปอร์คัพ : 1996
- 1 แชมป์ สโมสรโลก : 1996
- 1 แชมป์ อินเตอร์โตโตคัพ : 1999
- 1 แชมป์ เยาวชน อิตาลี : 1994
- 1 เข้าชิง ยูฟ่า คัพ : 1995
- 2 แชมป์ ยูโร U-21 : 1992/94,1994/96
- 1 เข้าชิง ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป : 2000
- 1 แชมป์ ฟุตบอลโลก : 2006
เกียรติประวัติส่วนตัว
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ "juvethailand.com". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-03-02. สืบค้นเมื่อ 2008-10-07.
- ↑ Mike Hytner (12 October 2015). "Alessandro Del Piero and Roberto Carlos touted for A-League coaching roles". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 15 October 2015.
- ↑ "Agent: 'Del Piero could retire'". Football Italia. สืบค้นเมื่อ 4 May 2015.
- ↑ Ben Gladwell. "Juventus shouldn't sell Paul Pogba, says Alessandro Del Piero". ESPN FC. สืบค้นเมื่อ 4 May 2015.
- ↑ Mark Doyle. "Del Piero: Berlusconi wanted me at AC Milan and now I'm a free agent..." goal.com. Goal.com. สืบค้นเมื่อ 4 May 2015.
- ↑ David Schiavone (10 October 2015). "Del Piero wants coaching career". La Gazzetta dello Sport. สืบค้นเมื่อ 15 October 2015.
- ↑ "ฟีฟ่า 100". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-05. สืบค้นเมื่อ 2008-10-07.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- เว็บไซด์ส่วนตัว - อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร
- ฟีฟ่า 100 เก็บถาวร 2007-12-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน