อากินะ นากาโมริ

นักร้องชาวญี่ปุ่น

อากินะ นากาโมริ (ญี่ปุ่น: 中森明菜โรมาจิNakamori Akina; เกิด 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1965) เป็นนักร้องและนักแสดงชาวญี่ปุ่น เติบโตในเขตโอตะ โตเกียว ต่อมาเธอได้ย้ายไปยังเมืองคิโยเซะ นากาโมริเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 16 ปี จากการประกวดร้องเพลงในรายการ สตาร์ทันโจ! (スター 誕生!) เธอได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงวอร์เนอร์มิวสิกเจแปน และออกซิงเกิลแรกในชื่อ "สโลโมชัน"

อากินะ นากาโมริ
อากินะ นากาโมริในปี ค.ศ. 1985
อากินะ นากาโมริในปี ค.ศ. 1985
ข้อมูลพื้นฐาน
เกิด (1965-07-13) 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1965 (59 ปี)
ที่เกิดเขตโอตะ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
แนวเพลง
อาชีพ
  • นักร้อง
  • นักแสดง
ช่วงปี1982–ปัจจุบัน
ค่ายเพลงวอร์เนอร์มิวสิกเจแปน (1982–1991)
เอ็มซีเอ-วิกเตอร์ (1993–1997)
เกาส์ (1998–1999)
มิวสิก@นิฟตี (2000–2001)
ยูนิเวอร์แซล (2002–ปัจจุบัน)
เว็บไซต์nakamoriakina.com

ตลอดอาชีพนักร้องของเธอ นากาโมริเป็นหนึ่งในนักร้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในคริสต์ทศวรรษ 1980[1] นากาโมริมีเพลงที่ขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตออริคอน 15 เพลงติดต่อกัน หลังจากออกซิงเกิล "สโลโมชัน " มีซิงเกิลออกตามมาอีกห้าซิงเกิลตลอด ค.ศ. 1982–1983 ได้แก่ "โชโจเอ" "เซเคินด์เลิฟ" "1/2 โนชินฮวา" "ทไวไลต์ (ยูงูเรดาโยริ)" และ "คินคุ" ทุกซิงเกิลประสบความสำเร็จและทำให้เธอมีชื่อเสียงอย่างมาก จนถูกเรียกว่าเป็น "โมโมเอะ ยามากูจิ 2"[2][3] เธอยังได้รับรางวัลเจแปนเรเคิดอะวอดส์สองปีติดต่อกัน และมีเพลงที่ขึ้นอันดับหนึ่งในรายการ เดอะเบสเทน มากถึง 69 สัปดาห์ อีกทั้งยังเป็นผู้นำแฟชั่นวัยรุ่นญี่ปุ่นในขณะนั้น

ชีวิตช่วงต้น

แก้

นากาโมริเกิดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1965 ที่เขตโอตะ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นบุตรคนที่ห้า และเป็นบุตรสาวคนที่สาม ในพี่น้องจำนวนหกคน[4] พ่อของเธอชื่อ อคิโอะ นากาโมริ[5] เป็นเจ้าของร้านขายเนื้อ[6] อากินะและพี่น้องของเธอถูกตั้งชื่อตามพ่อของเธอ โดยมีคำว่า 明 (อากิ)[7] แม่ของเธอตั้งชื่อว่า อากินะ ซึ่งมีความหมายว่า ดอกไม้นาโนะฮานะที่สว่างส่องใส[4] น้องสาวของเธอ อากิโฮะ นากาโมริ เป็นนักแสดง ซึ่งถึงแก่ความตายเมื่อปี ค.ศ. 2019 อายุ 52 ปี[5] ภายหลังจากที่อากินะเกิดได้ไม่นาน ครอบครัวของเธอก็ย้ายไปอยู่ที่ คิโยเซะ กรุงโตเกียว ที่ซึ่งเธอเติบโต[4]

แม่ของเธอเป็นแฟนเพลงของฮิบาริ มิโซระ ทำให้เธอได้ฟังเพลงของฮิบาริ และแม่ของเอธอได้สอนวิธีการร้องเพลง ในที่สุดอากินะก็ได้เดินทางสู่เส้นทางนักร้องภายในอิทธิพลของแม่[8]

อาชีพ

แก้

1982–1984

แก้

ภายหลังจากที่อกินะชนะในรายการ สตาร์ ทันโจ! ในความพยายามครั้งที่สาม เธอได้เปิดตัวด้วยผลงานเพลง สโลโมชัน[9] ซึ่งได้มีการบันทึกที่ลอสแอลเจลิส ซิงเกิลนี้ได้ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1982 และทำยอดขายไปได้ 174,000 อัลบั้ม โดยทำอันดับได้ถึงที่ 30 ของชาร์ต ออริกอน ต่อมาซิงเกิลที่ 2 "โชโจเอ" ซึ่งเกือบจะถูกแบนจากเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยง แต่เมื่อซิงเกิลนี้ออกมากลับทำผลงานได้ดีกว่าซิงเกิลแรก โดยขึ้นถึงอันดับที่ 5 และทำยอดขายได้ 396,000 อัลบั้ม ต่อมาเธอได้ออกซิงเกิลที่ 3 มีชื่อว่า "ซเคินด์เลิฟ" เป็นแนวเพลงบัลลาด ยิ่งพิสูจน์ผลงานที่ยอดเยี่ยมของเธอ โดยเพลงนี้สามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 2 ของชาร์ต ในสัปดาห์เปิดตัว และขึ้นเป็นอันดับ 1 ในสัปดาห์ต่อมา และเป็นอันดับ 1 นานถึงเก้าสัปดาห์ โดยทำยอดขายไปได้ 766,000 อัลบั้มในขณะนั้น และถ้านับถึงปัจจุบันอาจขายได้เกือบหนึ่งล้านอัลบั้ม นอกจากปล่อยซิงเกิ้ลต่างๆแล้ว ในปีเดียวกันนั้น เธอยังได้ออกอัลบั้มอีก 2 อัลบั้ม คือ "Prologue" และ "Variation" และทำยอดขายไปได้ 453,000 และ 743,000 อัลบั้ม ตามลำดับ

ในปี 1983 เธอได้ปล่อย 3 ซิงเกิ้ล 2 อัลบั้ม และ 1 อัลบั้มรวมฮิต ซิงเกิล "1/2 โนชินฮวา" ทำยอดขายไปได้ 573,000 อัลบั้ม และขึ้นถึงอันดับ 1 ตั้งแต่เปิดตัว ทำให้ซิงเกิ้ลนี้เป็นซิงเกิ้ลที่ขายดีที่สุดของปีนั้น ซิงเกิล "ทไวไลต์ (ยูงูเรดาโยริ)" ถูกปล่อยออกมาในเดือนพฤษภาคม ทำยอดขายไปได้ 430,000 อัลบั้ม และเปิดตัวได้อันดับที่ 2 และ "คินคุ" ซิงเกิลสุดท้ายของปี 1983 เปิดตัวด้วยอันดับ 1 และทำยอกขายไปได้ 511,000 อัลบั้ม อัลบั้มทั้ง 3 ของเธอ Fantasy, New Akina Etranger และ Best Akina Memoires ต่างก็ขึ้นสู่อันดับ 1 ในหมวดอัลบั้ม ด้วยความนิยมของเธอทำให้เธอได้ทำการแสดง ที่ เอ็นเอชเค โคฮากุอูตะกัซเซ็ง ในวันที่ 31 ธันวาคม 1983

ในปี 1984 เธอได้ปล่อยผลงานเพลง "คิตะ วิง" โดยทำยอดขายไปได้ 614,000 อัลบั้ม และอยู่ในอันดับ 2 ของชาร์ตยาวนานถึง 6 สัปดาห์ และซิงเกิ้ลถัดมา "Southern Wind" สามารถทำให้เธอกลับมายืนอยู่ในอันดับ 1 ของชาร์ตได้ แม้ว่าจะทำยอดขายได้ 544,000 อัลบั้ม ซึ่งน้อยกว่าซิงเกิ้ลก่อน ซิงเกิ้ลถัดมา Jukkai (1984) สามารถไปถึงอันดับ 1 ของชาร์ต และมียอดขาย 611,000 อัลบั้ม ในซิงเกิ้ลที่ 9 "Kazari ja Nai no yo Namida wa" เป็นจุดพิสูจน์ในเส้นทางนักร้องของเธอ โดยเพลงนี้ร้องได้ยาก เนื่องจากมีเนื้อร้องที่ต้องร้องเร็ว และเพลงนี้ก็ยังขึ้นอันดับ 1 ของชาร์ต และทำยอดขายไปได้ 625,000 อัลบั้ม และเพลงนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในสองเพลงที่เป็นเครื่องหมายของเธอ คู่กับเพลง "Desire (Jōnetsu)" ที่ได้ปล่อยในปี 1986

1985–1986

แก้

เริ่มต้นปี 1985 อากินะ ได้ออกซิงเกิล "Meu amor é...," ซึ่งเปิดตัวด้วยอันดับ 1 พร้อมกับยอดขาย 631,000 อัลบั้ม และทำให้เธอชนะรางวัลจาก เจแปน เรคคอร์ด อวอร์ด ครั้งที่ 27 ทำให้เธอเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว (อายุ 20 ปี ในขณะนั้น) ที่ได้รับมอบรางวัลจากรายการนี้ ในตอนแรกจะเปิดตัวเพลงที่มีชื่อว่า "Akaitori Nigeta" (นกแดงบินหนีไป) แต่โปรดิวเซอร์มีความเห็นว่าเนื้อเพลงไม่มีความแซมบาพอ ทำให้ถูกเปลี่ยนเป็นเพลง "Meu amor é..." ในภายหลัง แต่เพลง "Akaitori Nigeta" ก็ถูกปล่อยออกมาภายหลัง ซึ่งก็ขึ้นสู่อันดับ 1 ได้เช่นกัน และทำยอดขายไปได้ 354,000 อัลบั้ม จากนั้นเธอได้ปล่อยเพลง "Sand Beige (Sabaku e)" ซึ่งทำยอดขายไปได้ 461,000 อัลบั้ม และเปิดตัวเป็นอันดับ 1 ซิงเกิลถัดไป "Solitude" ก็ขึ้นเป็นอันดับ 1 และทำยอดขายไปได้ 336,000 อัลบั้ม

ในปี 1985 เธอได้ปล่อย 2 อัลบั้ม อัลบั้มแรก Bitter and Sweet ซึ่งประกอบไปด้วยซิงเกิลยอดฮิต เช่นเพลง "Kazari ja Nai no yo Namida wa" และ "BABYLON" มียอดขาย 556,000 อัลบั้ม และขึ้นสู่อันดับ 1 อีกเช่นเคย อัลบั้มถัดมาคือ D404ME มีเพียงแค่เวอร์ชั่นรีมิกซ์ ของเพลง "Meu amor é..." ท่ามกลางเพลงใหม่อื่นๆ และมียอดขาย 651,000 อัลบั้ม และเปิดตัวอยู่อันดับ 1 ของชาร์ต

ในปี 1986 ซิงเกิลแรกของเธอ "Desire (Jōnetsu)" เป็นหมุดหมายของภาพลักษณ์ที่เป็นผู้ใหญ่ของเธอในด้านการร้องเพลง และการเลือกเพลง โดยเพลงนี้เป็นเพลงโฆษณาของ Pioneer Private และเพลงนี้ยังได้รับรางวัลจาก เจแปน เรคคอร์ด อวอร์ด ครั้งที่ 28 เธอเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลนี้สองปีติดต่อกัน และซิงเกิลนี้ทำยอดขายไปได้ 516,000 อัลบั้ม เปิดตัว เป็นอันดับ 1 ของชาร์ต และจากนั้นได้ปล่อยซิลเกิล "Fin" ทำยอดขายไปได้ 318,000 อัลบั้ม และเปิดตัวเป็นอันดับ 1

เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่อากินะ เปิดตัวในวงการเพลงมา 4 ปี เธอได้ปล่อยอัลบั้ม "BEST" ซึ่งทำยอดขายไปได้ 766,000 อัลบั้ม และเปิดตัวเป็นอันดับ 1 จากนั้นเธอได้ปล่อยอัลบั้ม Fushigi โดยแนวคิดของอัลบั้มนี้เป็นการร้องเสียงเอคโค่ และมีการเรียงเรียงดนตรีที่ไม่ชัดเจน สร้างความตกตะลึงให้กับแฟนเพลงญี่ปุ่นสายอนุรักษ์นิยม แต่กระนั้นก็ยังทำยอดขายไปได้ 464,000 อัลบั้ม และในอัลบั้มถัดมา Crimson ซึ่งได้ใช้นักประพันธ์เพลงผู้หญิงทั้งหมดในอัลบั้ม มียอดขาย 601,000 อัลบั้ม และเปิดตัวเป็นอันดับ 1 เช่นเดียวกับอัลบั้ม Fushigi

1987–1989

แก้

ในปี 1987 อากินะ ได้ปล่อยเพลง "Tango Noir" ทำยอดขายได้ 348,000 อัลบั้ม และขึ้นสู่อันดับ 1 ตอนเปิดตัว ถึงแม้ว่ายอดขายจะตกลงเมื่อเทียบกับซิงเกิลอื่นๆ ก่อนหน้านี้ แต่ "Tango Noir" ก็ยังถือเป็นซิงเกิ้ลที่มียอดขายที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ของเธอในปีดังกล่าว ซิงเกิ้ลถัดมาของเธอ คือ "Blonde" เป็นเพลงเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นของเพลง "The Look That Kills" หนึ่งในเพลงอัลบั้ม Cross My Palm ซึ่งเป็นอัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษของเธอ โดยทำยอดขายไปได้ 301,000 อัลบั้ม ส่วนซิงเกิ้ลที่สะเทือนใจที่สุดของเธอแห่งปีคือ "Nanpasen" เพลงบัลลาดเกี่ยวกับการระบายอารมณ์ในเรื่องความรัก ซึ่งแฟนเพลงชาวญี่ปุ่นตั้งข้อสังเกตว่า อาจเกี่ยวกับความรักที่ไม่ราบรื่นของเธอกับนักร้องชื่อดัง มาซาฮิโกะ คนโด ซึ่งเป็นคนรักของเธอในขณะนั้น เพลงนี้ทำยอดขายไปได้ 431,000 อัลบั้ม และเปิดตัวในอันดับ 1

เธอปล่อยเพียงแค่ 1 อัลบั้ม ในปี 1987 มีชื่อว่า Cross My Palm เป็นอัลบั้มที่ร้องเป็นภาษาอังกฤษ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์อย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม อัลบั้มนี้ก็เป็นที่นิยมในญี่ปุ่น ทำยอดขายไปได้ 343,000 อัลบั้ม และเปิดตัวเป็นอับดับ 1

ในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1988 เธอได้ปล่อยอัลบั้ม Stock และปล่อยซิงเกิล 3 เพลง คือ "Al-Mauj", "Tattoo" และ "I Missed the Shock" โดยสองซิงเกิลแรกขึ้นสู่อันดับ 1 ตั้งแต่เปิดตัว

ในปี 1989 อากินะ ได้ปล่อยเพียงซิงเกิลเดียวคือ "Liar" เนื่องจากปัญหาทางด้านสุขภาพจิตของเธอ ซิงเกิลนี้มีข่าวลือว่า เนื้อเพลงสะท้อนเกี่ยวกับความรู้สึกของเธอที่มีต่อ คนโด ซึ่งต่อมามีข่าวที่ตกใจต่อสาธารณชน ว่าเธอได้บุกรุกเข้าไปที่อพาร์ทเมนท์ของคนโดพยายามฆ่าตัวตายที่นั่น ในเดือนกรกฎาคม 1989 ภายหลังจากที่คนโดยกเลิกงานหมั้น เธอถูกพบและนำส่งโรงพยาบาล ภายหลังจากที่เธอฟื้นฟูร่างกาย เธอได้ปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นระยะเวลาหนึ่ง

ผลงา

แก้

อัลบั้ม

อ้างอิง

แก้
  1. Eremenko, Alexey. "Biography: Akina Nakamori". Allmusic. สืบค้นเมื่อ 10 April 2010.
  2. "中森明菜 ポシビリテイ". 2013년 11월 21일. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-03. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  3. "紅白に出てほしい80年代アイドル」ランキング女性編". 2013년 9월 12일. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-26. สืบค้นเมื่อ 2013년 11월 19일. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  4. 4.0 4.1 4.2 "中森明菜 : 心の履歴書不器用だから、いつもひとりぼっち | WorldCat.org". search.worldcat.org.
  5. 5.0 5.1 "妹の葬儀にも姿なし 芸能記者が見た中森明菜「一家」の今|日刊ゲンダイDIGITAL". 日刊ゲンダイDIGITAL. 2019-06-20.
  6. "中森明菜「お母ちゃんの遺体見たくない」母の死から始まった27年間"家族断絶"の真実". 週刊女性PRIME (ภาษาญี่ปุ่น). 2024-08-21.
  7. "本気だよ : 菜の詩・17歲 | WorldCat.org". search.worldcat.org.
  8. INC, SANKEI DIGITAL (2020-01-21). "中森明菜、歌に限らず女優の仕事でも…とにかく「褒められたがり屋」の性格(1/3ページ)". イザ! (ภาษาญี่ปุ่น).
  9. [http://www.joqr.co.jp/meister/melody/080414.html "INAX �T�E���h �I�u �}�C�X�^�[ �F �i���̃����f�B�["]. www.joqr.co.jp. {{cite web}}: replacement character ใน |title= ที่ตำแหน่ง 6 (help)

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้