ออซซี ออสบอร์น
จอห์น ไมเคิล "ออซซี" ออสบอร์น (อังกฤษ: John Michael "Ozzy" Osbourne) เกิดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1948 เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงชาวอังกฤษ มีอาชีพการทำงานครอบคลุม 4 ทศวรรษ ออสบอร์นมีชื่อเสียงจากการเป็นนักร้องนำวงเฮฟวีเมทัลแถวหน้าที่ชื่อ แบล็กซับบาธ และยังประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยวกับยอดขายหลายแผ่นเสียงทองคำขาว ที่ถือเป็นการปฏิวัติวงการเฮฟวีเมทัล[3] เป็นผลทำให้เขาเป็นที่รู้จักในฐานะ "เจ้าพ่อแห่งเพลงเฮฟวีเมทัล" และ "เจ้าชายแห่งความมืดหม่น" [4]
ออซซี ออสบอร์น | |
---|---|
ออซซี ออสบอร์นปี 2008 | |
ข้อมูลพื้นฐาน | |
ชื่อเกิด | จอห์น ไมเคิล ออสบอร์น |
รู้จักในชื่อ | ออสซี่ |
เกิด | 3 ธันวาคม ค.ศ. 1948 |
ที่เกิด | แอสตัน , เบอร์มิงแฮม, ประเทศอังกฤษ |
แนวเพลง | เฮฟวีเมทัล, ดูมเมทัล , ฮาร์ดร็อก [1][2] |
อาชีพ | นักดนตรี, นักร้อง, นักแต่งเพลง |
เครื่องดนตรี | ฮาร์โมนิค |
ช่วงปี | ค.ศ. 1967 - ปัจจุบัน |
ค่ายเพลง | Epic, CBS, Jet |
คู่สมรส | ชารอน ออสบอร์น (4 กรกฎาคม 1982 - ปัจจุบัน) |
เว็บไซต์ | Ozzy.com |
ในช่วงต้นยุค 2000 เขาเริ่มโด่งดังอีกครั้งโดยมีรายการเรียลลิตี้ของตัวเองที่ชื่อ "The Osbournes" ร่วมกับสมาชิกในครอบครัวของเขา ภรรยา แชรอน และลูก 2 ใน 3 คนของพวกเขา เคลลีกับแจ็ก และในเดือนสิงหาคม 2008 ออสบอร์นเอ่ยในยูเอสเอทูเดย์ว่าเขาจะพักจากผลงานด้านดนตรีหลังจากมีอัลบั้มมากกว่า 2 ชุด[5]
ประวัติ
แก้วัยเด็ก
แก้ออสซี่ ออสบอร์น เกิดใน แอสตัน , เบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เป็นบุตรของ "จอห์น" "โทมัส" "แจ็ค" "ออสบอร์น" (อังกฤษ: John Thomas "Jack" Osbourne) พ่อของเขามีอาชีพเป็นช่างทำเครื่องไม้เครื่องมือที่ General Electric Company plc [6][7] ส่วนมารดาของเขา , ลิเลียน ออสบอร์น (อังกฤษ: Lillian Osbourne) เป็นชาวคอทาลิก แตไม่ได้เคร่งครัดในศาสนา , โดยทุกวันแม่ของเขาจะทำงานที่โรงงาน[8] ออสซี่เป็นลูกคนที่ 4 ในบรรดาทั้งหมด 6 คน โดยมีพี่สาว 3 คน และน้องชายอีก 2 คน : จิน , อิริซ , กิลิซ , พอล และ ทอย ครอบครัวออสบอร์นเป็นบ้านสองชั้น ตั้งอยู่ในถนน 14 Lodge Road ในเมืองแอสตัน ออสบอร์นได้รับชื่อเล่นว่า "ออสซี่" ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษา[9]
ออสบอร์นมีอาการสมาธิสั้นซึ่งเขาบกพร่องในการเรียนรู้[10][11]ออสบอร์นยังได้มีส่วนร่วมในละครของโรงเรียน อาทิ "The Midako" และ "HMS Pinafore"[12]ออสบอร์นในวัย 14 ปีได้ยินเพลง She Loves You ของวง เดอะบีเทิลส์ เป็นแรงผลักดันให้ออสบอร์นอยากเป็นนักร้อง ออสซี่กล่าวในปี ค.ศ. 2011 ในสารคดีชีวประวัติของเขา God Bless Ozzy Osbourne ไว้ว่า "หลังจากที่ผมได้ยินเพลง She Loves You ของวงเดอะบีเทิลส์ในวิทยุ ทำให้ผมมีความคิดอยากที่จะเป็นร็อคสตาร์เพื่อเติมเต็มชีวิตที่เหลือของผม"[6][7][13][14]
ออสบอร์นออกจากโรงเรียนกลางคันตั้งแต่อายุ 15 , หลังลาออกออสบอร์นได้มาทำงานทุกอย่างเพื่อแลกกับเงิน ไม่ว่าจะเป็น คนงานก่อสร้าง , ช่างประปาฝึกหัด , และคนงานโรงฆ่าสัตว์ หนำซ้ำเขายังได้ขโมยของต่างๆ เชน โทรทัศน์ และยังขโมยเสื้อผ้าเด็กและผ้ากั้นเปื้อนเด็ก (โดยแรกเริ่มคิดว่าเป็นเสื้อของผู้ใหญ่เนื่องจากเสื้อผ้ามีสีเข้มยากที่จะมองเห็นเมื่อเขาขโมยเสร็จเขาก็มุ่งหน้าไปที่ผับเพื่อนำของไปขาย) และเสื้อยืด[6] โดยออสซี่ไม่มีเงินะจ่ายค่าปรับได้หลังจากขโมยเสื้อผ้า พ่อของออสบอร์นปฏิเสธที่จะจ่ายค่าปรับ และกล่าวว่าเพื่อเป็นบทเรียนให้แก่ลูกชายตนเอง[6]
สู่แบล็กแซ็บบาธ
แก้ปลายปี 1967 , กีเซอร์ บัตเลอร์ ตั้งวงดนตรีของเขาขึ้น "Rare Breed" ก่อนที่ภายหลังออสบอร์นจะได้รับเลือกให้มาเป็นนักร้อง[9] วงพวกเขามีการแสดงเพียงสองโชว์ จนสุดท้ายก็ต้องแตกหักในที่สุด , ออสบอร์นและบัตเลอร์ ได้รวมตัวกันอีกครั้งในนาม Polka Tulk Blues พร้อมโดยมือกีตาร์ โทนี อิออมมี และ มือกลอง บิล วอร์ด ทั้งคู่เคยเป็นสมาชิกวง Mythology วงบลูส์จากอังกฤษ แต่ท้ายสุดวงก็ต้องยุบตัวลงในภายหลัง พวกเขาเปลี่ยนชื่อวงเป็น Earth แต่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน พวกเขามีรายชื่อแสดงโชว์ แต่มีวงดนตรีหนึ่งที่ใช้ชื่อเหมือนพวกเขา ทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชื่อวงอีกครั้ง พวกเขาตัดสินใจใช้ชื่อว่าแบล็กแซ็บบาธ ในสิงหาคม 1969 , โดยนำมาจากชื่อภาพยนตร์เดียวกันนี้[15] ดนตรีของพวกเขาทำให้ผู้ฟังเกิดความตื่นตระหนกเนื่องจากยังไม่ได้รับความนิยมในขณะนั้น นำไปสู่แรงบันดาลใจที่ทำให้ทางวงตัดสินใจเล่นแนวเพลง เฮฟวี่ บลูส์ ที่มาด้วยดนตรีและเนื้อร้องอันมืดหม่น[16] ขณะอัดอัลบั้มชุดแรก , บัตเลอร์ อ่านหนังสือเวทมนตร์และตื่นขึ้นมาพร้อมด้วยรูปซานต้าในหัวเตียงของเขา บัตเลอร์กล่าวกับออสบอร์นเกี่ยวกับเรื่องนี้จนพวกเขาได้แต่งเพลง "Black Sabbath" ในอัลบั้มชื่อเดียวกันนี้ เพลงแรกของพวกเขามีความมืดหม่นและชวนน่าติดตาม[17][18]
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะลองก้าวเป็นศิลปินจากค่ายเพลงอย่าง วอร์เนอร์ บราเธอร์ส และพวกเขา แบล็กแซ็บบาธสร้างกลุ่มฐานแฟนเพลงอย่างรวดเร็วและคงทนถาวร ซาวด์กีตาร์ริฟที่ชวนให้คุณซึมซับถึงดนตรีพวกเขา - โทนี่ อิออมมี , เนื้อเพลงสุดมืดหม่นและน่าหลงไหลโดย - กีเซอร์ บัตเลอร์ , บิล วอรด์ - มือกลองแห่งความมืดหม่น และท้ายสุด ออสบอร์น - เจ้าชายแห่งความมืดหม่น ในอัลบั้มชุดแรกของพวกเขาอย่าง "Black Sabbath" และ "Paranoid" มียอดวางขายอัลบั้มที่สูงอย่างมาก อย่างไรก็ดีจากความโด่งดังของพวกเขาทำให้ได้ออกอากาศทางโทรทัศน์อยู่บ่อยครั้ง ออสบอร์นหวนนึกถึงวงด้วยความโศกเศร้า "วันเก่าๆ ตอนนั้นพวกเรายังไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เลยไม่ได้มีผู้หญิงรุมล้อม"
ในเวลาเดียวกัน , ออสบอร์นได้รู้จัก ชารอน อาร์เดน ที่ภายหลังเป็นสามี - ภรรยาด้วยกัน หลังจากที่พวกเขาไม่คาดฝันว่าอัลบั้มชุดแรกจะประสบความสำเร็จ แบล็ธซับบาธได้นำพ่อตัวเอง ดอน อาร์เดน มาเป็นผู้จัดการวงพวกเขา และชารอนก็ได้ร่วมงานในเวลาเดียวกัน [9] ออสบอร์น ยอมรับว่าเขาโปรยเสน่ห์ใส่ชารอน อาร์เดน โดยออสบอร์นคิดว่า "ชารอนคิดว่าเขาเป็นบ้า"[9] ปีถัดมา ออสบอร์นกล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่พวกเขาเลือก ดอน อาร์เชนมาเป็นผู้จัดการเพื่อจะได้เห็นชารอนเป็นประจำ [9] ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคงซับซ้อนในขณะนั้น
ห้าเดือนให้หลัง หลังการปล่อยอัลบั้มชุดที่สอง "Paranoid" พวกเขาก็ปล่อยอัลบั้มชุดที่สาม "Master Of Reality" อัลบั้มดังกล่าวติดอยู่ Top Ten ทั้งในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร และได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำในระหว่างสองเดือนแรกที่ปล่อยอัลบั้มดังกล่าว [19] ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 พวกเขาได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว[19] และได้รางวัลดับเบิ้ลแพลตินัม เมื่อช่วงต้น คริสต์ศตวรรษที่ 21[19] อัลบั้มดังกล่าวมีวิจารณ์ในแง่ลบ เลสเตอร์ แบง บรรณาธิการนิตรสารอันโด่งดังอย่าง โรลลิงสโตน วิจารณ์อัลบั้ม Master Of Reality ว่ายังขาดประสบการณ์ และมีลักษณะดนตรีที่เรียบง่ายไป และแนวเพลงที่ซ้ำกับตลาดมากจนเกินไป แต่ถึงกระนั้นนิตรสารเดียวกันนี้ก็ได้ให้อัลบั้มชุดดังกล่าวติดอยู่ในลำดับที่ 298 จาก 500 อัลบั้มยอดเยี่ยมตลอดกาล ในปี 2003[20] อัลบั้มชุดที่สี่ของพวกเขา "Vol. 4" ที่วางจำหน่ายเมื่อกันยายน 1972 แต่ผลวิจารณ์ก็ไปในเชิงลบเหมือนเดิม แต่ก็ยังได้รับอัลบั้มแผ่นเสียงทองขาว , พวกเขาเป็นหนึ่งในสี่วงที่มียอดขายติดต่อกันจนพุ่งทะยานสู่หนึ่งล้านก็อปปี้ในหสรัฐอเมริกา[21][22]
ในปี 1971 , ออสบอร์นพบกับภรรยาคนแรก เทย์มา (née Riley) ที่ไนท์คลับใน เบอร์มิงแฮม นามว่า The Rum Runner ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของเธอด้วย[9] พวกเขาสมรสกันเมื่อปี 1971 และมีลูกด้วยกันชื่อ เจสสิก้า และ หลุยส์ ออสบอร์นอ้างอิงถึงการสมรสครั้งแรกของพวกเขาว่า "เป็นความผิดพลาดที่น่ากลัว" [9] จากการใช้สารเสพติดและแอลกฮอลล์ของออสบอร์น เขามักจะไม่ค่อยได้พูดคุยกันบ่อยครั้งเพราะออสบอร์นต้องแสดงโชว์ร่วมกับแบล็กแซ็บบาธ และลูกของพวกเขาก็โศกเศร้าเกี่ยวกับเรื่องนี้และบอกว่าออสบอร์นไม่ใช่พ่อที่ดี , ในสารคดีภาพยนตร์ God Bless Ozzy Osbourne เมื่อปี ค.ศ. 2011 , โปรดิวเซอร์โดยลูกของเขาเอง แจ็ค ออสบอร์น เขายอมรับว่าเขาไม่สามารถที่จำได้ว่าหลุยส์และเจสสิกาเกิด[23]
ผลงาน
แก้- ร่วมกับวง แบล็กแซ็บบาธ
- แบล็กซับบาธ (1970)
- พารานอยด์ (1970)
- มาสเตอร์ออฟเรียลิตี (1971)
- แบล็กซับบาธโวลโฟร์ (1972)
- ซับบาธบลัดดีซับบาธ (1973)
- ซาบอเทจ (1975)
- เทคนิคัลเอกสตาซี (1976)
- เนเวอร์เซย์ดาย! (1978)
- 13 (2013)
- ผลงานเดี่ยว
- บลิซเซิร์ดออฟออซ(1980)
- Diary of a Madman (1981)
- Bark at the Moon (1983)
- The Ultimate Sin (1986)
- No Rest for the Wicked (1988)
- No More Tears (1991)
- Ozzmosis (1995)
- Down to Earth (2001)
- Under Cover (2005)
- Black Rain (2007)
- Scream (2010)
- Ordinary Man (2020)
- Patient Number 9 (2022)
อ้างอิง
แก้- ↑ Black Sabbath ที่ออลมิวสิก
- ↑ Proto doom su metal.it
- ↑ Mick Wall (1986). Diary of a Madman - The Official Biography. Zomba Books.
- ↑ ปี ตำนานหมาป่า 'เห่าเพ็ญจันทร์' ออสซี่ ออสบอร์น[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Ozzy 'retiring after two more albums'". Digital Spy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-08-26. สืบค้นเมื่อ 2009-08-22.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 Sue Crawford (2003), "Ozzy Unauthorized"; ISBN 978-1-84317-016-7
- ↑ 7.0 7.1 Johnson, Ross (January 2005). "What I've Learned: Ozzy Osbourne". Esquire. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-22. สืบค้นเมื่อ 17 February 2008.
- ↑ อ้างอิงจากหนังสือ I Am Ozzy หน้า 6
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 9.6 Osbourne, Ozzy; Ayres, Chris (2010). I Am Ozzy. Grand Central Publishing. pp. 14, 84. ISBN 978-0-446-56989-7.
- ↑ Appleyard, Bryan (27 November 2005). "Blizzard of Oz". The Sunday Times. London, UK. สืบค้นเมื่อ 17 September 2006.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Profiles of Ozzy Osbourne, Elvis Costello, David Bowie, Norah Jones". CNN. สืบค้นเมื่อ 20 May 2010.
- ↑ GQ interview
- ↑ Walker, Jodi (25 April 2011). "'God Bless Ozzy Osbourne': New documentary presents the life, art, and addiction of the metal madman | The Music Mix". Music-mix.ew.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-04-29. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
- ↑ "Cynthia Ellis: Q&A With Jack Osbourne for God Bless Ozzy Osbourne". Huffingtonpost.com. 26 May 2011. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
- ↑ Ankeny, Jason. "Biography-Geezer Butler". สืบค้นเมื่อ 10 July 2010.
- ↑ Weber, Barry (2007). "Ozzy Osbourne Biography". AllMusic. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 August 2015. สืบค้นเมื่อ 17 February 2008.
- ↑ Osbourne, Ozzy (2010). I Am Ozzy.
- ↑ Ruhlmann, William (2003). "Black Sabbath – Biography". All music. สืบค้นเมื่อ 17 February 2008.
- ↑ 19.0 19.1 19.2 "RIAA Gold & Platinum database-"Master of Reality"". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-23. สืบค้นเมื่อ 22 February 2009.
- ↑ "Master of Reality Rolling Stone Review". Rollingstone.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-23. สืบค้นเมื่อ 13 October 2014.
- ↑ Ruhlmann, William. "AMG Biography". Allmusic. สืบค้นเมื่อ 14 February 2008.
- ↑ "RIAA Gold & Platinum database-"Vol. 4"". สืบค้นเมื่อ 22 February 2009.
- ↑ God Bless Ozzy Osbourne documentary film, produced in 2011. Next Entertainment.