คำคล้องจอง

(เปลี่ยนทางจาก สัมผัสใน)

คำคล้องจอง หรือ คำสัมผัส คือลักษณะอย่างหนึ่งของบทกวี มักจะเป็นฉันทลักษณ์ในคำประพันธ์ประเภทต่าง ๆ

ลักษณะ

แก้

สัมผัสบังคับ เรียกอีกอย่างว่า สัมผัสนอก หมายถึงสัมผัสที่กำหนดเป็นแบบแผนในคำประพันธ์ เป็นสัมผัสสระ คือมีเสียงสระและตัวสะกดมาตราเดียวกัน เช่นในโคลงสี่สุภาพ บาทแรก คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับ คำสุดท้ายของวรรคแรก ในบาทที่ 2 และ 3 และบาทที่ 2 คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับ คำสุดท้ายของวรรคแรก ในบาทที่ 4

ในจินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี อธิบายสัมผัสบังคับของโคลงสี่สุภาพไว้ว่า

ให้ปลายบาทเอกนั้น มาฟัด
ห้าที่บทสองวัจน์ ชอบพร้อง
บทสามดุจเดียวทัด ในที่ เบญจนา
ปลายแห่งบทสองต้อง ที่ห้าบทหลัง

สัมผัสไม่บังคับ หรือ สัมผัสใน หมายถึงสัมผัสที่มิได้กำหนดไว้ในบังคับของคำประพันธ์ จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีจะเพิ่มให้ไพเราะขึ้นตามความเหมาะสม ในคำประพันธ์ประเภทกลอนก็มีศัพท์ที่ใช้เรียกสัมผัสในลักษณะต่าง ๆ ไว้ ถ้าจะอนุโลมนำมาเทียบเคียงคือ

  • เคียง หมายถึงสัมผัสสระเรียงชิดกัน 2 คำ
"แหกตาหลอกกลอกคางทำหางโก่ง"
  • เทียบเคียง หมายถึงสัมผัสสระเรียงชิดกัน 3 คำ
"เห็นนกหกกกลูกรัญจวนจิต"
  • ทบเคียง หมายถึงสัมผัสสระสองสระเรียงกันสระละ 2 คำ
"เสียงเลื่อนลั่นครั่นครื้นพื้นพิภพ"
  • เทียบแอก หมายถึงสัมผัสสระที่มีสระอื่นคั่น 1 สระ อยู่ปลายวรรค
"ปีบจำปีจำปาและกาหลง"
  • แทรกเคียง หมายถึงมีสระอื่นคั่น 1 สระ อยู่ต้นวรรค
"สิ้นบุญแล้วน้องแก้วจะลาตาย"
  • แทรกแอก เป็นลักษณะเดียวกับเทียบแอกแต่มีสระอื่นคั่น 2 สระ
"แต่เห็นกันยังไม่ทันได้บอกกล่าว"
  • ยมก หมายถึงการซ้ำคำ
"ถึงวัดทองทองทาบอยู่ปลาบเปล่ง"
  • คู่ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน 2 คำ
"ที่เภทภัยสารพัดกำจัดแคล้ว"
  • เทียบคู่ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน 3 คำ
"มาแปลงเปลี่ยนแปลกไปไม่เหมือนก่อน"
  • เทียมรถ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน 4 คำ
"โอ้อกเอ๋ยอาวรณ์ต้องจรจาก"
  • เทียบรถ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน 5 คำ
"มาโรยร่วงเรียมรศเรณูนวล"
  • ทบคู่ คือสัมผัสอักษร 2 อักษรเรียงกัน 2 คำ
"จนดาวเดือนเลื่อนลับไปจากฟ้า"
  • แทรกคู่ เป็นสัมผัสอักษรที่มีอักษรอื่นคั่น 1 คำ
"ตัวคนเดียวหลงเดินในดงแดน"
  • นิสสัย หมายถึงสัมผัสอักษรระหว่างปลายวรรคหน้ากับต้นวรรคหลัง
"ฝืนวิโยคโศกเศร้าเข้าในห้อง เห็นแท่นทองที่ประทมภิรมย์สงวน"
  • นิสสิต อักษรปลายวรรคหน้าสัมผัสอักษรที่สองของวรรคหลัง
"ให้ปลาบปลื้มมิได้ลืมละอาลัย คิดแล้วให้หวนช้ำระกำทรวง"สวัสดี

สัมผัสในถือเป็นอลังการทางภาษาที่งดงามของวรรณศิลป์ไทยอย่างหนึ่ง คำประพันธ์ที่แพรวพราวด้วยสัมผัสในย่อมฟังรื่นไหล แต่ทั้งนี้คำที่ใช้ต้องดีทั้งเสียงและความหมาย สัมผัสในของโคลงสี่สุภาพก็จะมีทั้งในวรรคเดียวกัน และระหว่างวรรคของบาทเดียวกัน ทั้งสัมผัสสระ และสัมผัสอักษร หากไม่มีสัมผัสอักษรระหว่างวรรคแรกกับวรรคหลังของแต่ละบาท วรรคหลังควรเป็นคำที่มีสัมผัสอักษร เสียงของโคลงก็จะฟังเลื่อนไหล

อ้างอิง

แก้
  • กรมศิลปากร. การประพันธ์โคลงสี่สุภาพ. 2548.