ฟันดาบ เป็นกีฬาต่อสู้ที่มีการต่อสู้ด้วยดาบ[2] การแข่งขันฟันดาบสมัยใหม่มีด้วยกัน 3 ประเภท ได้แก่ ฟอยล์ เอเป้ และเซเบอร์ ใช้วัสดุของดาบแบ่งประเภทตามชื่อ แต่ละประเภทมีกติกาต่างกันออกไป นักกีฬาฟันดาบส่วนใหญ่มีความถนัดในประเภทเดียว กีฬาฟันดาบสมัยใหม่มีความนิยมมากขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยมีพื้นฐานมาจากศิลปะการฟันดาบแบบดั้งเดิม สำนักฟันดาบอิตาลีนำเอาการฟันดาบแบบดังเดิมซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ในอดีตของยุโรปนำมาปรับปรุง และต่อมาสำนักฟันดาบฝรั่งเศสก็ได้ปรับปรุงให้มีระบบที่ดียิ่งขึ้น การทำคะแนนในการแข่งขันฟันดาบทำได้โดยการสัมผัสกับคู่ต่อสู้

ฟันดาบ
การแข่งขันฟันดาบเวิลด์คัพ 2012 รอบชิงชนะเลิศ ที่ปารีส
สมาพันธ์สูงสุดสหพันธ์ฟันดาบนานาชาติ
เล่นครั้งแรกระหว่างศตวรรษที่ 17 และ 19 ยุโรป
ลักษณะเฉพาะ
การปะทะกึ่งสัมผัส
ผู้เล่นในทีมเดี่ยวหรือผลัดทีม
แข่งรวมชายหญิงผสม และแยก
หมวดหมู่ในร่ม
อุปกรณ์เอเป้, ฟอยล์, เซเบอร์, สายไฟฟ้าประจำตัว, เสื้อไฟฟ้า, ด้ามจับ
สถานที่สนามประลอง (ปริ้สท์)[1]
จัดแข่งขัน
ประเทศ ภูมิภาคทั่วโลก
โอลิมปิกตั้งแต่โอลิมปิกฤดูร้อน 1896
พาราลิมปิกวีลแชร์ฟันดาบ ตั้งแต่พาราลิมปิกฤดูร้อน 1960
ฟันดาบ
ยังเป็นที่รู้จักในชื่อฟันดาบเอเป้, ฟันดาบฟอยล์, ฟันดาบเซเบอร์
มุ่งเน้นอาวุธ
Hardnessกึ่งสัมผัส
เว็บไซต์ทางการfie.org

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1904 มีการเพิ่มประเภทที่ 4 ของฟันดาบที่เรียกว่าซิงเกิลสติก แต่ถูกยกเลิกหลังจากการแข่งขันครั้งนั้นและไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของฟันดาบสมัยใหม่ ฟันดาบแข่งขันเป็นหนึ่งในกีฬาแรก ๆ ที่เสนอในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ควบคู่ไปกับกรีฑา จักรยาน ว่ายน้ำ และยิมนาสติก ถูกบรรจุในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ทุกครั้ง

การแข่งขันฟันดาบ

แก้

หน่วยงานกำกับดูแล

แก้

การฟันดาบอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสหพันธ์ฟันดาบนานาชาติ (ฝรั่งเศส: Fédération Internationale d'Escrime; FIE) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่โลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีสมาชิกจาก 155 สมาคมระดับชาติ ซึ่งแต่ละแห่งได้รับรับรองจากรัฐบาล คณะกรรมการโอลิมปิก ให้เป็นตัวแทนหนึ่งเดียวของกีฬาฟันดาบประเภทโอลิมปิกในประเทศนั้น ๆ[3]

สหพันธ์ยังคงใช้กฎปัจจุบันที่ใช้ในการแข่งขันระดับนานาชาติหลัก ประกอบด้วยการแข่งขันฟันดาบเวิลด์คัพ ฟันดาบชิงแชมป์โลก และกีฬาฟันดาบในกีฬาโอลิมปิก[4] สหพันธ์สามารถให้มีการเสนอเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎได้ในการประชุมประจำปี[5]

ประวัติ

แก้
 
สำนักวิชาฟันดาบ มหาวิทยาลัยไลเดิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ปี 1610

กีฬาฟันดาบมีรากฐานมาจากการพัฒนาทักษะการใช้ดาบสำหรับการดวลต่อสู้และการป้องกันตัว ถือได้ว่าเป็น "หมากรุกความเร็วสูง" โดยแต่ละการต่อสู้จะเริ่มต้นและสิ้นสุดด้วยการชูมือ การมีน้ำใจนักกีฬาและการให้เกียรติมีความเข้มงวดในทุกระดับของการฝึกฝนและการแข่งขัน[6]

เค้าโครงของฟันดาบสมัยใหม่มีต้นกำเนิดในศตวรรษ 18 สำนักฟันดาบของอิตาลีในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา และภายใต้อิทธิพลของสำนักดังกล่าวก็ได้พัฒนาโดยสำนักฟันดาบของฝรั่งเศส[7][8] สำนักฟันดาบของสเปนหยุดพัฒนาและถูกแทนที่ด้วยสำนักของอิตาลีและฝรั่งเศส

การพัฒนาสู่กีฬา

แก้

การเปลี่ยนจากการฝึกในรูปแบบทหารสู่การเป็นกีฬาฟันดาบ เกิดขึ้นตั้งแต่กลางศตวรรษ 18 นำโดยโดเมนิโก แองเจโล ซึ่งก่อตั้งสำนักวิชาฟันดาบชื่อว่า สำนักอาวุธแองเจโล (Angelo's School of Arms) ในคาร์ไลล์เฮาส์ โซโห ลอนดอน ในปี 1763[9] ใช้เป็นที่ศิลปะการฟันดาบอันเป็นกระแสนิยมแก่ชนชั้นสูง สำนักของแองเจโลบริหารงานโดยครอบครัวผ่านสามชั่วอายุคน และครองศิลปะการฟันดาบของยุโรปมาเกือบศตวรรษ[10]

 
ภาพพิมพ์ ปี 1763 ฟันดาบจากหนังสือคู่มือของโดเมนิโก แองเจโล มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนการฟันดาบให้กลายเป็นกีฬา

แองเจโลวางกฎเกณฑ์สำคัญเกี่ยวกับท่าทางและจังหวะเท้าในวงการฟันดาบมาถึงปัจจุบัน แม้ว่าวิธีการโจมตีและป้องกันจะยังแตกต่างจากปัจจุบันมากก็ตาม แม้ในการสอนเป็นการตั้งใจที่เตรียมนักเรียนให้พร้อมสู่การต่อสู้จริง แต่แองเจโลก็เป็นปรมาจารย์ด้านการฟันดาบคนแรกที่เน้นย้ำถึงประโยชน์ต่อสุขภาพและการกีฬาของฟันดาบมากกว่าการใช้เป็นศิลปะการสังหาร โดยเน้นย้ำในหนังสือที่มีอิทธิพลของเขาชื่อ L'École des armes (สำนักแห่งการฟันดาบ) ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1763[10]

กติกาพื้นฐานรวบรวมและกำหนดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1880 โดยปรมาจารย์ด้านการฟันดาบชาวฝรั่งเศส กามีย์ เพรวอสต์ ในช่วงเวลานี้เองที่สมาคมฟันดาบที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการหลายแห่งเริ่มก่อตั้งขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น สมาคมฟันดาบสมัครเล่นแห่งอเมริกาก่อตั้งขึ้นในปี 1891 สมาคมฟันดาบสมัครเล่นแห่งบริเตนใหญ่ก่อตั้งขึ้นในปี 1902 และสหพันธ์สมาคมฟันดาบและหออาวุธแห่งชาติของฝรั่งเศสก่อตั้งขึ้นในปี 1906[11]

การแข่งขันฟันดาบอย่างเป็นทางการครั้งแรกจัดขึ้นที่การแข่งขัน Grand Military Tournament and Assault at Arms ครั้งแรกในปี 1880 ซึ่งจัดขึ้นที่ Royal Agricultural Hall ในอิสลิงตัน ประเทศอังกฤษ ในเดือนมิถุนายน การแข่งขันครั้งนี้ประกอบด้วยการแข่งขันระหว่างเจ้าหน้าที่กองทัพและทหาร การแข่งขันแต่ละครั้งต่อสู้สัมผัสกันห้าครั้งและปลายดาบฟอยล์ทาด้วยสีดำเพื่อให้ผู้ตัดสินมองเห็นอย่างชัดเจน[12] สมาคมยิมนาสติกและฟันดาบสมัครเล่นได้จัดทำกฎกติกาฟันดาบอย่างเป็นทางการขึ้นในปี 1896

กีฬาฟันดาบเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในโอลิมปิกฤดูร้อน 1896 ประเภทเซเบอร์จัดขึ้นในโอลิมปิกฤดูร้อนทุกครั้ง ประเภทฟอยล์จัดขึ้นในโอลิมปิกฤดูร้อนทุกครั้ง ยกเว้นในโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 การแข่งขันเอเป้จัดขึ้นในโอลิมปิกฤดูร้อนทุกครั้ง ยกเว้นในโอลิมปิกฤดูร้อน 1896 โดยไม่ทราบแน่ชัด

เริ่มขึ้นด้วยประเภทเอเป้ในปี 1933 ที่ผู้ตัดสินข้างสนามถูกแทนที่ด้วยโลร็อง-พาแกน เครื่องนับคะแนนไฟฟ้า[13] พร้อมเสียงสัญญาณและไฟสีแดงหรือสีเขียวที่แสดงเมื่อใดที่สัมผัสได้ ประเภทฟอยล์ถูกนำมาใช้ในปี 1956 และประเภทเซเบอร์ในปี 1988 กล่องบันทึกคะแนนช่วยลดความลำเอียงในการตัดสิน และช่วยให้นับคะแนนได้แม่นยำยิ่งขึ้นสำหรับการโจมตีที่เร็วขึ้น การสัมผัสที่เบากว่า และสัมผัสจากด้านหลังและด้านข้างมากกว่าเดิม[14]

อ้างอิง

แก้
  1. "มาตรฐานสนามแข่งขันและอุปกรณ์กีฬา ฟันดาบ" (PDF). 2009.
  2. "Fencing | History, Organizations, & Equipment | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ). 2024-01-19. สืบค้นเมื่อ 2024-02-02.
  3. "About FIE". FIE: International Fencing Federation. สืบค้นเมื่อ 4 August 2023.
  4. "About FIE". fie.org.
  5. "2022 FIE Congress Decisions and Rule Changes". fencing.net. 17 December 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 June 2023. สืบค้นเมื่อ 1 August 2023. The FIE Congress met on November 25 in Lausanne, Switzerland for their annual decisions regarding proposed rule changes as well as the additional decisions by the Executive Committee.
  6. Wells, Jonathan. "Fencing: A guide to the Olympics' most gentlemanly sport". Gentleman's Journal. Gentleman's Journal. สืบค้นเมื่อ 25 August 2024.
  7. Fencing Online เก็บถาวร 2011-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Fencing.net. Retrieved on 2012-05-16.
  8. A History of Fencing เก็บถาวร 2012-09-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Library.thinkquest.org. Retrieved on 2012-05-16.
  9. F.H.W. Sheppard, ed. Survey of London volume 33 The Parish of St. Anne, Soho (north of Shaftesbury Avenue), London County Council, London: University of London, 1966, pp. 143–48, online at British History Online.
  10. 10.0 10.1 Nick Evangelista (1995). The Encyclopedia of the Sword. Greenwood Publishing Group. pp. 20–23. ISBN 9780313278969.
  11. "Fencing". 28 February 2024.
  12. Malcolm Fare. "The development of fencing weapons".
  13. Alaux, Michel. Modern Fencing: Foil, Epee, and Sabre. Scribner's, 1975, p. 83.
  14. Freudenrich, Craig (2000-09-21). "How Fencing Equipment Works". How Stuff Works.

บรรณานุกรม

แก้
  • Amberger, Johann Christoph (1999). The Secret History of the Sword. Burbank: Multi-Media. ISBN 1-892515-04-0
  • Barbasetti, Luigi (1936). The Art of the Sabre and the Epee. 1936. reprint 2019. ISBN 9783964010056
  • British Fencing (September 2008). "FIE Competition Rules (English)". Official document. Retrieved 2008-12-16.
  • Evangelista, Nick (1996). The Art and Science of Fencing. Indianapolis: Masters Press. ISBN 1-57028-075-4.
  • Evangelista, Nick (2000). The Inner Game of Fencing: Excellence in Form, Technique, Strategy, and Spirit. Chicago: Masters Press. ISBN 1-57028-230-7.
  • Gaugler, William M. (2004). "The Science of Fencing: A Comprehensive Training Manual for Master and Student: Including Lesson Plans for Foil, Sabre and Epee Instruction". Laureate Press. ISBN 1884528309.
  • United States Fencing Association (September 2010). United States Fencing Association Rules for Competition. Retrieved 2011-10-03.
  • Vass, Imre (2011). "Epee Fencing: A Complete System". SKA SwordPlay Books. ISBN 0978902270.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้