ประวัติศาสตร์นิพนธ์

ประวัติศาสตร์นิพนธ์ เป็นการศึกษาวิธีที่นักประวัติศาสตร์ใช้พัฒนาประวัติศาสตร์เป็นสาขาวิชาการ ความหมายของประวัติศาสตร์นิพนธ์ยังหมายถึงข้อเขียนประวัติศาสตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ประวัติศาสตร์นิพนธ์หนึ่งครอบคลุมว่านักประวัติศาสตร์ศึกษาหัวข้อนั้นด้วยแหล่งข้อมูล วิธีการ และแนวศึกษาทางทฤษฎีอย่างไร ประวัติศาสตร์นิพนธ์ เช่น จักรวรรดิบริติช สงครามโลกครั้งที่สอง อิสลามยุคแรก และจีนมีแนวศึกษาและแง่มุมทางประวัติศาสตร์การเมืองและประวัติศาสตร์สังคมที่ต่างกัน ประวัติศาสตร์นิพนธ์เริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อมีการพัฒนาประวัติศาสตร์เชิงวิชาการ ซึ่งปรับเปลี่ยนมุมมองในการเขียนประวัติศาสตร์ คำว่าประวัติศาสตร์นิพนธ์ตรงกับคำในภาษาอังกฤษคือ historiography ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณคือ ἱστορίᾱ (historíā, "การสอบสวน") กับ γράφω (gráphō, "เขียน")[1]

อุปมานิทัศน์ของการเขียนประวัติศาสตร์โดย ยาโกบ เดอ วิต (ค.ศ. 1754) แสดงภาพความจริงในเรือนร่างเกือบเปลือยกำลังเฝ้าดูผู้เขียนประวัติศาสตร์ที่มีเทพีอะธีนา (ปัญญา) คอยให้คำแนะนำอยู่ทางซ้าย

แม้อารยธรรมสมัยโบราณอย่างอียิปต์โบราณและเมโสโปเตเมียจะมีการบันทึกเหตุการณ์รายปี แต่การบันทึกประวัติศาสตร์นิพนธ์เริ่มครั้งแรกในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล เมื่อเฮอรอโดทัสประพันธ์ ฮิสตอรีส ที่บรรยายถึงภูมิศาสตร์ การเมืองและความขัดแย้งของวัฒนธรรมกรีก เอเชียตะวันตกและแอฟริกาเหนือ[2] ต่อมาศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล เคโตผู้อาวุโสประพันธ์ ออริจิเนส งานเขียนที่บันทึกการสถาปนาโรม สาธารณรัฐโรมัน และการเรืองอำนาจ[3] ออริจิเนส ยังเป็นบันทึกประวัติศาสตร์โรมชิ้นแรกที่เป็นภาษาละติน[4] ในช่วงเวลาใกล้กัน ซือหม่า ถันและซือหม่า เชียนร่วมกันเขียน ฉื่อจี้ เอกสารประวัติศาสตร์จีนที่ว่าด้วยรัชกาลจักรพรรดิเหลืองถึงจักรพรรดิฮั่นอู่[5] จากนั้นประวัติศาสตร์นิพนธ์สมัยกลางมีทั้งบันทึกเหตุการณ์ในยุโรป วรรณกรรมอิสลามของนักประวัติศาสตร์มุสลิม และงานเขียนประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นและเกาหลีที่อิงจากรูปแบบของจีน ล่วงถึงยุคเรืองปัญญาสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 ประวัติศาสตร์นิพนธ์โลกตะวันตกได้ก่อร่างและพัฒนาโดยปัญญาชนหลายคน เช่น วอลแตร์ เดวิด ฮูมและเอ็ดเวิร์ด กิบบอน

ความสนใจของนักประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีการเปลี่ยนผ่านจากประวัติศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจ การทูตสู่ประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม ระหว่างค.ศ. 1975–1995 พบว่าสัดส่วนของศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอเมริกันที่เป็นนักประวัติศาสตร์สังคมเพิ่มจาก 31 เป็น 41 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่สัดส่วนของนักประวัติศาสตร์การเมืองลดลงจาก 40 เป็น 30 เปอร์เซ็นต์[6] ในค.ศ. 2007 การสำรวจอาจารย์ 5,723 คนจากคณะประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยบริติช พบว่าอาจารย์ 1,644 คน (29 เปอร์เซ็นต์) ระบุตนเองเป็นนักประวัติศาสตร์สังคม ส่วนอาจารย์ 1,425 คน (25 เปอร์เซ็นต์) ระบุตนเองเป็นนักประวัติศาสตร์การเมือง[7] ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 มีความสนใจประวัติศาสตร์ในแง่ความทรงจำและการระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกจดจำและนำเสนอเพื่อการเฉลิมฉลอง[8]

อ้างอิง

แก้
  1. "historiography - Meaning & Definition". Lexico.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-02. สืบค้นเมื่อ December 2, 2021.
  2. "Method of narration of Herodotus". Britannica. สืบค้นเมื่อ December 2, 2021.
  3. Cornelius Nepos, Life of Cato, §3.
  4. Briscoe (2010).
  5. Nienhauser (2011), pp. 463-464.
  6. Diplomatic dropped from 5 to 3 percent, economic history dropped from 7 to 5 percent, and cultural history grew from 14 to 16 percent. Based on the number of full-time professors in U.S. history departments. Stephen H. Haber, David M. Kennedy, and Stephen D. Krasner, "Brothers under the Skin: Diplomatic History and International Relations", International Security, Vol. 22, No. 1 (Summer, 1997), pp. 34–43 at p. 42 online at JSTOR
  7. See "Teachers of History in the Universities of the UK 2007 – listed by research interest" เก็บถาวร 2006-05-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  8. David Glassberg, "Public history and the study of memory." The Public Historian 18.2 (1996): 7-23 online.