บุนนาค
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
บุนนาค หรือ สารภีดอย หรือ นาคบุตร[1] (อังกฤษ: Ceylon ironwood, cobra saffron, ชื่อวิทยาศาสตร์: Mesua ferrea) จัดอยู่ในวงศ์ Calophyllaceae มีถิ่นกำเนิดในเขตนิเวศอินโดมาลายา เป็นไม้ยืนต้น โตช้า เนื้อไม้แข็งและหนัก ต้นบุนนาคเป็นที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเนื่องจากมีรูปทรงที่สง่างาม ใบสีเขียวเทาอมฟ้า เมื่อใบอ่อนจะมีสีชมพูอมแดงสวยงาม และดอกสีขาวขนาดใหญ่มีกลิ่นหอมแรง บุนนาคได้รับการยกย่องให้เป็น ต้นไม้ประจำชาติของศรีลังกา และเป็น ต้นไม้ประจำรัฐมิโซรัม และ ดอกไม้ประจำรัฐตริปุระ ในประเทศอินเดีย[2]
บุนนาค | |
---|---|
ต้นบุนนาคที่ Thelwatta ศรีลังกาตะวันออกเฉียงใต้ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | พืช Plantae |
เคลด: | พืชมีท่อลำเลียง Tracheophytes |
เคลด: | พืชดอก Angiosperms |
เคลด: | พืชใบเลี้ยงคู่แท้ Eudicots |
เคลด: | โรสิด Rosids |
อันดับ: | อันดับโนรา Malpighiales |
วงศ์: | Calophyllaceae Calophyllaceae |
สกุล: | Mesua Mesua L. |
สปีชีส์: | Mesua ferrea |
ชื่อทวินาม | |
Mesua ferrea L. | |
ชื่อพ้อง | |
Mesua coromandelina Wight |
การจำแนกประเภท
แก้บุนนาคถูกระบุครั้งแรกในหนังสือ Species Plantarum ของคาร์ล ลินเนียส ในปี 1753 หน้า 515[3]
Mesua ferrea เป็นสายพันธุ์ที่ซับซ้อนและเคยถูกแบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์และพันธุ์ย่อย[4] เอ.เจ.จี.เอช. คอสเตอร์แมนส์ และ กุนาติลเลเก และคณะ เรียกต้นไม้ที่อธิบายไว้ในบทความนี้ว่า Mesua nagassarium[5][6] Kostermans แยกย่อย Mesua nagassarium ออกเป็นหลายชนิดย่อย
ผู้เขียนเหล่านี้ระบุว่า Mesua ferrea เป็นสายพันธุ์แยกต่างหาก ที่พบเฉพาะในศรีลังกา เป็นต้นไม้ขนาดเล็ก สูง 15 เมตร เติบโตใกล้ลำธารและในหนองน้ำทางตะวันตกเฉียงใต้ของศรีลังกา เรียกว่า "Diya Na" ในภาษาสิงหล แปลว่า "ต้นน้ำนา" "Diya Na" นี้ไม่ได้รับการเพาะปลูก[5][6] Gunatilleke และคณะ (หน้า 139) กล่าวไว้ในหมายเหตุว่า "ในการปรับปรุงล่าสุด diya na ถูกตั้งชื่อว่า Mesua thwaitesii และ na เป็น Mesua ferrea"[6]
Kostermans และ Gunatilleke และคณะ จัดประเภท Mesua ferrea ไว้ในวงศ์ Clusiaceae ในขณะที่ในฐานข้อมูล AgroForestryTree Database จัดอยู่ในวงศ์ Guttiferae ใน Plants of the World Online และ World Flora Online จัดอยู่ในวงศ์ Calophyllaceae[7]
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
แก้เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงได้เกิน 30 เมตร ลำต้นมักแผ่กว้างออกไปคล้ายฐานรองรับ โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นสูงสุดถึง 2 เมตร เปลือกของต้นอ่อนมีสีเทาอมขี้เถ้าและหลุดลอกเป็นแผ่น ในขณะที่เปลือกของต้นแก่จะมีสีเทาเข้มอมขี้เถ้าและมีรอยแตกสีน้ำตาลแดง ใบเรียงตรงข้ามกัน รูปใบเรียวยาว ปลายแหลม สีเขียวอมฟ้าถึงเขียวเข้ม ยาว 7-15 เซนติเมตร กว้าง 1.5-3.5 เซนติเมตร ด้านล่างของใบมีสีขาว ใบอ่อนที่เพิ่งแตกออกมาจะมีสีแดงถึงชมพูอมเหลืองและห้อยลงมา กิ่งก้านเรียวกลมและไม่มีขน ดอกสมบูรณ์เพศ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-7.5 เซนติเมตร มีกลีบดอกสีขาว 4 กลีบ และใจกลางดอกประกอบด้วยเกสรตัวผู้ยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตรสีเหลืองอมส้มจำนวนมาก หอมเย็น ออกเป็นกระจุก 2-1 ดอก ผลเป็นแคปซูลรูปไข่ถึงกลม มีเมล็ดหนึ่งถึงสองเมล็ด
พบได้ในป่าดิบชื้น ตามริมห้วย ลำธาร ที่ระดับความสูงไม่เกิน 600–700 เมตร
เป็นไม้วงศ์เดียวกับ ต้นชะมวงหรือส้มป่อง มะดะหรือมังคุดป่า ต้นติ้วแดงและ ต้นติ้วขน จัดกลุ่มอยู่ในไม้พวก Iron wood คือเนื้อแข็ง ซึ่งมีอยู่ในหลายประเทศ ต้นบุนนาคสามารถพบได้ในอินเดียและศรีลังกา
ประโยชน์
แก้ในตำรายาแผนไทย พบว่าแทบทุกส่วนของบุนนาคนำมาใช้ประโยชน์ทางยาได้หมด
- เนื้อไม้ - เป็นไม้เนื้อแข็งใช้ทำหมอนรถไฟ การก่อสร้าง ด้านร่ม เป็นต้น
- ใบ-ใช้รักษาบาดแผล แก้แผลสด แก้พิษงู
- เปลือกต้น -แก้พิษงู แก้ฟกช้ำ
- แก่น -แก้เลือดออกตามไรฟัน บำรุงโลหิต
- ดอกแห้ง - เป็นยาฝาดสมาน ขับลมแก้ลมในไส้ บำรุงธาตุ บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ
- เมล็ด - มีน้ำมันที่กลั่นใช้ผสมเครื่องสำอาง และอื่น ๆ
- ดอกสด - มีน้ำมันหอมระเหย ปัจจุบันนำมาปลูกเป็นไม้ประดับกันอย่างแพร่หลาย
- ราก - ขับลมในลำไส้ บำรุงโลหิต แก้กลิ่นเหม็นสาบในร่างกาย
เกร็ดความรู้
แก้- บุนนาคเป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดพิจิตร
ภาพ
แก้-
ใบอ่อนและดอก
-
ใบอ่อนและดอก
-
ผลอ่อน
-
ผลสุก
อ้างอิง
แก้- ↑ "Nag Kesar". Flowers of India.
- ↑ "State Symbols of Tripura | Tripura Tourism Development Corporation Ltd". tripuratourism.gov.in. สืบค้นเมื่อ 2017-04-28.
- ↑ "Mesua ferrea L. | Plants of the World Online | Kew Science". Plants of the World Online (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 16 November 2023.
- ↑ "Mesua ferrea L. – Clusiaceae". biotik.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2012-12-06.
- ↑ 5.0 5.1 Kostermans, A.J.G.H. (1980). "Clusiaceae (Guttiferae)". ใน Dassanayaka, M.D.; Fosberg, F.R. (บ.ก.). A revised handbook to the flora of Ceylon. Vol. I. New Delhi. pp. 107–110.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 Ashton, M; Gunatilleke, S; de Zoysa, N; Dassanayake, MD; Gunatilleke, N; Wijesundera, S (1997). A Field Guide to the Common Trees and Shrubs of Sri Lanka (PDF). Colombo. p. 140. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-06-06. สืบค้นเมื่อ 2012-12-06.
- ↑ "Mesua ferrea L." worldfloraonline.org. สืบค้นเมื่อ 16 November 2023.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Caldecott, Todd (2006). Ayurveda: The Divine Science of Life. Elsevier/Mosby. ISBN 0-7234-3410-7. Contains a detailed monograph on Mesua ferrea (Nagakeshara) as well as a discussion of health benefits and usage in clinical practice. Available online at https://web.archive.org/web/20101229121750/http://www.toddcaldecott.com/index.php/herbs/learning-herbs/312-nagakeshara
- Sriracha College: Mesua ferrea(in Thai; numerous photos)