นามสกุล คือ ชื่อบอกตระกูล (หรือสกุล) เพื่อแสดงที่มาของบุคคลนั้น ๆ ว่ามาจากครอบครัวไหน ตระกูลใด ธรรมเนียมการใช้นามสกุลปรากฏอยู่ทั่วไปในหลาย ๆ ประเทศและวัฒนธรรม ซึ่งในแต่ละที่ก็อาจจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป

ในหลาย ๆ วัฒนธรรม (เช่น ทางตะวันตก ตะวันออกกลาง และในทวีปแอฟริกา) นามสกุลจะอยู่ในลำดับหลังสุดของชื่อบุคคล แต่ในบางวัฒนธรรม โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม) นามสกุลจะอยู่ในลำดับแรก ส่วนนามสกุลของไทยจะอยู่เป็นลำดับสุดท้ายเหมือนทางตะวันตก

ในบางวัฒนธรรม จะใช้นามสกุลในการเรียกขานในโอกาสที่เป็นทางการ เช่น บารัก โอบามา (Barack Obama) จะถูกเรียกว่า คุณโอบามา (Mr. Obama) ไม่ใช่ คุณบารัก เป็นต้น

นามสกุลในประเทศไทย

แก้

ก่อนหน้านี้ กฎหมายไทยกำหนดให้ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว จะต้องเปลี่ยนมาใช้นามสกุลสามี แต่ในปัจจุบัน ศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ขาดให้ผู้หญิงมีสิทธิในการเลือกใช้นามสกุลของตัวเองหรือของสามีได้ ซึ่งถือเป็นการให้สิทธิแก่สตรีตรงตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 30 ระบุไว้

เดิมทีคนไทยไม่ได้มีนามสกุล[1] จะมีเพียงชื่อเรียกเท่านั้น ในสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จึงโปรดให้มีการตั้งนามสกุลเหมือนกับประเทศอื่น ๆ โดยให้ตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2455 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 และมีการพระราชทานนามสกุลให้แก่หลายครอบครัวที่เรียกว่า นามสกุลพระราชทานจำนวน 6,432 นามสกุล และหลายครอบครัวก็ตั้งนามสกุลตามชื่อของผู้นำของครอบครัวนั้น หรือตามถิ่นที่อยู่อาศัยของครอบครัวนั้น นามสกุลแรกของประเทศไทย คือ สุขุม

รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุลไว้ทั้งหมด 6,464 นามสกุล แบ่งเป็น

  • นามสกุลตามสมุดทะเบียน 6,439 นามสกุล (ในสมุดทะเบียนลงลำดับที่นามสกุลที่ได้พระราชทานไปเพียง 6,432 นามสกุล)
  • นามสกุลพิเศษ 1 นามสกุล คือ นามสกุล ณ พิศณุโลก[2]
  • นามสกุลสำหรับราชสกุลรัชกาลที่ 4 อีก 24 นามสกุล เช่น กฤดากร เกษมศรี จักรพันธุ์ จิตรพงศ์ ชุมพล ทวีวงศ์ ทองแถม ดิศกุล เทวกุล ศรีธวัช สวัสดิกุล

เมื่อมีพระราชบัญญัติขนามนามสกุลฯ ขึ้น ราษฎรไทยจึงต้องตั้งนามสกุลสำหรับใช้ในครอบครัวหรือตระกูลของตน โดยมีความนิยมหลายอย่างด้วยกัน ดังนี้

  • ตั้งตามชื่อของบรรพบุรุษ (ปู่ ย่า ตา ยาย)
  • ข้าราชการที่มีราชทินนาม มักจะนำราชทินนามมาตั้งเป็นนามสกุลของตน เช่น หลวงพิบูลสงคราม (แปลก) ใช้นามสกุล "พิบูลสงคราม"
  • ตั้งตามสถานชื่อตำบลที่อยู่อาศัย
  • ชาวไทยเชื้อสายจีนอาจแปลความหมายจากนามสกุลของตน หรือใช้คำว่าแซ่นำหน้าชื่อสกุล หรือใช้ชื่อสกุลนำหน้า หรือสอดแทรกไว้ในนามสกุล
  • หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ และหม่อมหลวง ใช้นามราชสกุลของตนเป็นนามสกุล แต่ลูกของหม่อมหลวงและต่อไปเป็นหลาน เหลน ใช้นามราชสกุลโดยลำพังไม่ได้ ต้องมีคำว่า "ณ อยุธยา" ต่อท้าย สำหรับเชื้อพระวงศ์[ต้องการอ้างอิง]

พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. ๒๕๐๕ กำหนดหลักเกณฑ์การตั้งชื่อสกุลไว้ว่า มาตรา ๘ ชื่อสกุลต้อง

(๑) ไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับพระปรมาภิไธย หรือพระนามของพระราชินี
(๒) ไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับราชทินนาม เว้นแต่ราชทินนามของตน ของผู้บุพการี หรือของผู้สืบสันดาน
(๓) ไม่ซ้ำกับชื่อสกุลที่ได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ หรือชื่อสกุลที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว
(๔) ไม่มีคำหรือความหมายหยาบคาย
(๕) มีพยัญชนะไม่เกินกว่าสิบพยัญชนะ เว้นแต่กรณีใช้ราชทินนามเป็นชื่อสกุล

นามสกุลในประเทศอื่น ๆ

แก้
  • ในประเทศเกาหลี กัมพูชา จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม โปแลนด์ รัสเซีย และฮังการี มักเขียนนามสกุลนำหน้าชื่อตัว
  • สเปน ใช้สองนามสกุล ทั้งนามสกุลของพ่อและนามสกุลของแม่
  • โปรตุเกส ใช้สองนามสกุล ทั้งนามสกุลของแม่และนามสกุลของพ่อ
  • เอกสารในบางประเทศที่ใช้อักษรละติน บางครั้งจะใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ สำหรับชื่อนามสกุล เพื่อป้องกันการสับสนว่าชื่อหรือนามสกุล เช่น TORIYAMA Akira
  • ในบางประเทศ โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น และประเทศตะวันตก เมื่อต้องเรียกขานบุคคลที่ไม่รู้จักกันมาก่อน มักจะเรียกด้วยนามสกุลเพื่อความสุภาพ สำหรับคนที่สนิทมากขึ้นอาจจะเรียกชื่อตัวหรือชื่อเล่นแทนนามสกุล

ดูเพิ่ม

แก้
  • นามสกุลที่นิยมใช้
  • ราชสกุล
  • ธเนศ วงศ์ยานนาวา. "การสอดส่องดูแลเด็กกับครอบครัวจินตกรรมในประเทศไทย: จากนามสกุลสู่รักทางอารมณ์." แปลโดย ภาคิน นิมมานนรวงศ์. ใน พิพัฒน์ พสุธารชาติ (บก.), ครอบครัวจินตกรรม: บทวิพากษ์ว่าด้วยชุมชน การปกครอง และรัฐ. น. 33-79. กรุงเทพฯ: Illuminations, 2561.

ข้อมูลแหล่งอ้างอิง

แก้
แหล่งข้อมูลอื่น ๆ
แก้
  1. บันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องโฉนดที่ดิน แสดงถึงการใช้นามสกุล ในสมัยรัชกาลที่ 5 ของสกุล “ เฉลยโชติ ”[ลิงก์เสีย]
  2. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศพระราชทานนามสกุลพิเศษ, เล่ม ๓๐, ตอน ๐ ง, ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๖, หน้า ๘๓๒