จักรพรรดิแนโร

(เปลี่ยนทางจาก จักรพรรดิเนโร)

แนโร เกลาดิอุส ไกซาร์ เอากุสตุส แกร์มานิกุส (ละติน: NERO CLAVDIVS CAESAR AVGVSTVS GERMANICVS) เป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันองค์ที่ 5 เกิดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 37 ที่เมืองอันติอูง จักรวรรดิโรมัน มีพระนามเต็มตอนประสูติว่า ลูกิอุส ดอมิติอุส อาเอนอบาร์บุส (LVCIVS DOMITIVS AHENOBARBVS) บิดาชื่อกไนอุส ดอมิติอุส อาเอนอบาร์บุส มารดาชื่ออากริปปีนา ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องสาวของจักรพรรดิกาลิกุลา จักรพรรดิรัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์ยูลิอุส-เกลาดิอุส

จักรพรรดิแนโร
รูปปั้นครึ่งตัวของจักรพรรดิแนโรในกรุงโรม
จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันพระองค์ที่ 5
ครองราชย์13 ตุลาคม ค.ศ. 54 – 9 มิถุนายน ค.ศ. 68 (13 ปี)
ก่อนหน้าจักรพรรดิเกลาดิอุส
ถัดไปจักรพรรดิกัลบา
ประสูติ15 ธันวาคม ค.ศ. 37
อันติอูง, อีตาลิอา
สวรรคต9 มิถุนายน ค.ศ. 68 (อายุ 30)
นอกโรม
คู่อภิเษก
  • คลาอุเดีย ออคตาเวีย
  • ปอปปาเอีย ซาบินา
  • ไพธากอรัส
  • สตาติเลีย เมสซาลินา
  • สโปรุส
พระราชบุตรคลาอุเดีย ออกุสตา
พระนามเต็ม
แนโร เกลาดิอุส ไกซาร์ เอากุสตุส แกร์มานิกุส
ราชวงศ์ยูลิอุส-เกลาดิอุส
พระราชบิดาเยียอุส โดมิทิอุส อาเฮโนบาร์บุส
พระราชมารดาอากริปปีนาผู้ลูก

เหตุการณ์ในปีต่าง ๆ

แก้
  • ค.ศ. 39 เกิดศึกใหญ่ระหว่างโรมันกับเยอรมนี จักรพรรดิกาลิกุลาจึงนำทัพไปรบ แต่ก็มีข่าวออกมาว่า อากริปปีนา น้องสาวของพระองค์กำลังวางแผนโค่นอำนาจจากพระองค์ไป จึงทรงสั่งเนรเทศอากริปปีนาไปยังเกาะพอนเธียน ทั้ง ๆ ที่แนโรยังเล็กมาก เขาจึงต้องอาศัยอยู่กับบิดา
  • ค.ศ. 40 กไนอุส อาเอนอบาร์บุส บิดาของแนโรเสียชีวิต เนื่องจากป่วยเป็นโรคบวมน้ำ เกลาดิอุส (พี่ชายของพ่อของจักรพรรดิกาลิกุลา) จึงรับเลี้ยงดูแนโรต่อ ซึ่งในช่วงปีนี้ แนโรมีความฝันอยากจะเป็นศิลปิน
  • ค.ศ. 41 จักรพรรดิกาลิกุลาถูกลอบสังหารขณะชมกีฬา สภาสูงสุดแห่งโรม จึงมีมติให้เกลาดิอุสครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 4 เขาเป็นคนดี ปกครองบ้านเมืองได้สงบร่มเย็นตลอดรัชกาล เขานำอากริพพินา มารดาของแนโรกลับมายังโรมัน ทำให้แม่ลูกได้พบกัน และอยู่ด้วยกันอย่างสงบ อากริปปีนาแต่งงานกับเศรษฐีคนหนึ่งเพื่อยกฐานะตนให้รวยขึ้น ต่อมาเศรษฐีเสียชีวิตลง อากริปปีนาและแนโรจึงได้สืบทอดทรัพย์สินของเศรษฐีต่อมา
  • ค.ศ. 48 ภรรยาของจักรพรรดิเกลาดิอุส (รัชกาลที่ 4) ถูกจับได้ว่าคิดกบฏ จึงถูกสั่งประหารชีวิต อากริปปีนาจึงพยายามจะแต่งงานกับเกลาดิอุส เพื่อยกฐานะแนโรให้เป็นบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิ
  • ค.ศ. 49 อากริปปีนาแต่งงานกับจักรพรรดิเกลาดิอุสได้สำเร็จ แนโรได้กลายเป็นบุตรบุญธรรมของเกลาดิอุส แนโรจึงเปลี่ยนชื่อเต็มใหม่ ว่า แนโร เกลาดิอุส ซีซาร์ ดรุสซุส (Nero Claudius Caesar Drusus) มีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะครองราชย์ต่อจากเกลาดิอุส
  • ค.ศ. 50 จักรพรรดิเกลาดิอุสแต่งตั้งเลื่อนยศอากริปปีนาเป็นออกุสตา (จักรพรรดินี) และเลื่อนยศแนโรขึ้นเป็นทายาทโดยชอบธรรม
  • ค.ศ. 51 จักรพรรดิเกลาดิอุสประกาศให้แนโร เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ ในขณะที่อายุยังน้อย ต่อมาไม่นาน แต่งตั้งแนโรเป็นข้าหลวงและมอบสิทธิ์ให้สามารถเข้าร่วมอภิปรายในสภาสูงได้
  • ค.ศ. 53 แนโรได้แต่งงานกับคลอเดีย ออคเตเวีย ซึ่งเป็นลูกสาวของจักรพรรดิเกลาดิอุส
  • ค.ศ. 54 วันที่ 13 ตุลาคม จักรพรรดิเกลาดิอุส ถูกฆาตกรรมโดยเสวยเห็ด "พิเศษ" ที่อากริปปีนาหามาถวาย จนเสียชีวิต จากนั้นเธอจึงรีบวิ่งไปยังที่เก็บพระราชลัญจกรและพระราชพินัยกรรม โดยทำลายของเก่าทิ้งเสีย แล้วร่างฉบับใหม่ขึ้นมาพร้อมใส่ชื่อลูกชายเข้าไปแล้วประทับด้วยดวงตราลัญจกรของเกลาดิอุส ทำให้แนโรขึ้นเป็นจักรพรรดิรัชกาลที่ 5 ทั้ง ๆ ที่ยังอายุยังไม่ถึง 20 ปี แนโรปกครองจักรวรรดิโรมันได้อย่างสงบสุขเรื่อยมาจนกระทั่ง
  • ค.ศ. 58 แนโรหลังจากแต่งตั้งให้เป็นซีซาร์ จึงทำการแก้ไขกฎหมายหลายอย่าง ทำให้คะแนนความนิยมขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ออกุสตุสจักรพรรดิโรมันพระองค์แรกเป็นต้นมา ถึงกระนั้นแล้วแนโรก็ต้องการอภิษกสมรสอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้น โดยเจ้าสาวที่คิดไว้คือ แอ็คเต้ เพื่อนสาวสมัยเด็ก แต่หลังจากแต่งงานแล้วแนโรก็เกิดความไม่พอใจมารดา เพราะมายุ่งกับแอ็คเต้ตลอดเวลา เนื่องจากเห็นางเป็นเพียงทาสต่ำต้อยคนหนึ่ง

จากนั้นอากริปปีนาเริ่มเกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง ที่แนโรมัวสนใจอยู่แต่แอ็คเต้ แม้กระนั้นแนโรก็ไม่ได้สนใจมารดาเลยและคิดจะละทิ้งความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกเสีย เหลือไว้เพียงความรักกับแอ็คเต้เท่านั้น ซึ่งทำให้พระราชมารดาทรงขู่จะเปิดเผยพินัยกรรมฉบับจริงที่จักรพรรดิเกลาดิอุสระบุว่า จะมอบราชสมบัติให้แก่บริทานิคัสผู้เป็นรัชทายาทที่แท้จริง คำขู่นี้ก่อให้เกิดผลร้ายต่อบริทานิคัสผู้ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่เป็นคนแรก โดยแนโรได้เชิญพระบรมวงศานุวงศ์หนุ่มมาร่วมเสวย และแล้วเหตุการณ์ก็ซ้ำรอยเดิมเมื่อบริทานิคัสเกิดอาการชักเกร็งแล้วสิ้นใจในที่สุดด้วย "เห็ดพิเศษ" หลังจากนั้นจึงมีพระบรมราชโองการให้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า "บริทานิคัส พระบรมวงศานุวงศ์ผู้เป็นที่รักของซีซาร์เสด็จสู่สวรรค์คาลัยแล้วด้วยสาเหตุลมชักอันเป็นโรคประจำตัว"

  • ค.ศ. 59 หลังจากบริทานิคัสสิ้นใจไปแล้ว เหยื่อรายต่อไปคือมารดา แนโรจึงวางแผนให้ทิเจลลินัส ทหารพรีโตเรียนการ์ดคนสนิททูลเชิญพระราชมารดาเสด็จทางชลมารค โดยเรือพระที่นั่งสั่งทำพิเศษ คือ มีรูมากเป็นพิเศษและโครงเรือบางจนต้องล่มก่อนถึงฝั่งอย่างแน่นอน แต่พระนางอากริปปีนาก็ทนทายาด พาตัวเองขึ้นฝั่งได้สำเร็จ แต่ด้วยวิบากกรรมที่ได้ทำเอาไว้จึงชักจูงให้นางมาพบจุดจบ เพราะแนโรมีแผนสอง ทรงให้เสวยพระกระยาหารพิเศษ แถมด้วยการปักกริชที่อกจากทิเจลลินัส ทำให้อากริปปีนาสิ้นพระชนม์ในที่สุด
  • ค.ศ. 62 แนโรหย่าขาดกับนางคลอเดีย ออคเตเวีย และในปีเดียวกันนั้น นางก็เสียชีวิต อย่างลึกลับ จนถึงปัจจุบันยังหาสาเหตุไม่ได้
  • ค.ศ. 64 วันที่ 21 มกราคม ปอปปาเอียได้ให้กำเนิดลูกสาวของตนกับแนโร ชื่อว่า คลาอุเดีย ออกุสตา ซึ่งเป็นลูกคนแรกของแนโร แนโรดีใจมาก จึงสถาปนาปอปปาเอียเป็นจักรพรรดินี และจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โต แต่ 4 เดือนต่อมา คลาอุเดีย ออกุสตา ก็ป่วยจนเสียชีวิต แนโรและปอปปาเอียเศร้ามาก แนโรจึงประกาศให้คลาอุเดีย ออกุสตา เป็นเทพีองค์ใหม่ของโรมัน สร้างรูปบูชาและจัดนักบวชไว้คอยรับใช้รูปบูชา
  • ค.ศ. 64 วันที่ 18 กรกฎาคม ตอนกลางคืน เกิดไฟไหม้ขึ้นที่ร้านขายวัตถุไวไฟแห่งหนึ่งในกรุงโรม ประกอบกับการที่ถนนกรุงโรมในช่วงนั้นแคบ ทำให้ไฟจากร้านค้าวัตถุไวไฟนั้น ลุกลามไปยังบ้านเรือนหลังอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก ไฟก็ไหม้ทั่วเมือง แนโรรู้ข่าวก็รีบมาดูเปลวเพลิงที่หอคอยมาเอเซนัส (Maecenas) แล้วก็บอกว่าเปลวเพลิงนั้นช่างสวยงาม นั่งมองไฟผลาญกรุงโรมอย่างสบายอารมณ์ พร้อมทั้งนำเครื่องดนตรีมาบรรเลงอย่างสุนทรีย์โดยไม่ส่งทหารไปช่วยดับไฟ
  • ค.ศ. 64 วันที่ 25 กรกฎาคม เปลวเพลิงที่ผลาญกรุงโรมมาตลอด 6 วัน 6 คืนดับลงในวันที่ 7 เผาบ้านเผาเรือนไป 132 หลัง ใน 4 หมู่บ้าน แนโรสั่งให้เวนคืนที่ดินจำนวนหนึ่งมาสร้างพระราชวังทองคำ (Golden Palace) ประกอบกับการที่แนโรไม่ส่งทหารไปช่วยดับไฟ และในอดีตพระองค์เคยคิดจะเปลี่ยนชื่อกรุงโรมเสียใหม่ว่า กรุงแนโรโพลิส (Neropolis) ประชาชนจึงปักใจเชื่อว่าแนโรเป็นผู้เผากรุงโรม (นักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันเองก็บอกว่ามีความเป็นไปได้ที่แนโรจะเป็นผู้เผากรุงโรม)
แนโรจึงสุ่มสี่สุ่มห้าบอกไปว่าผู้ที่นับถือลัทธิคริสเตียน (ศาสนาคริสต์เมื่อเกือบสองพันปีก่อนในจักรวรรดิโรมันเป็นเพียงแต่ลัทธิเล็ก ๆ) เป็นกลุ่มคิดกบฏและพยายามเผาโรม จึงเกิดเป็นการประหารหมู่ชาวคริสเตียนในโรมันด้วยข้อหาเผาโรม ประหารโดยวิธีให้อดอาหารสัตว์ป่าในโคลอสเซียมจนหิวโซ และนำชาวคริสเตียนไปปล่อยที่สนามโคลอสเซียม และปล่อยสัตว์ป่าให้มารุมฉีกทึ้งชาวคริสเตียนต่อหน้าผู้ชม นอกจากนี้ยังเก็บภาษีอย่างหนักเพื่อมาซ่อมแซมบ้านเมืองและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ล่มจมของโรม ทำให้ประชาชนคลางแคลงใจในแนโร จนเกิดเป็นคำติดปากประชาชนชาวโรมว่า "แนโรจอมเผาโรม" ซึ่งในปัจจุบัน วลีอายุกว่า 2,000 ปีนี้ ได้ถูกใช้เป็นชื่อโปรแกรมซอฟต์แวร์เขียนแผ่นซีดี/ดีวีดี
แต่แนโรก็เปิดพระราชวังให้คนที่ไร้บ้านมาอาศัย พร้อมทั้งจัดหาข้าวน้ำให้ประชาชนดื่มกินฟรี นอกจากนี้ยังสั่งให้ออกแบบการสร้างเมืองใหม่ให้ถนนกว้างขึ้นเพื่อป้องกันการเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นอีก และเพื่อไม่ให้ชาวบ้านที่มีโฉนดต้องเสียที่ดินไปเพราะการขยายถนนไปเบียด จึงจัดสรรที่ดินใหม่ให้เขตบ้านเรือนและถนนแผ่กว้าง ทำให้ความเป็นไปได้ที่แนโรจะเป็นผู้เผาโรมลดลง ชาวบ้านบางส่วนก็เริ่มเชื่อใจ และจนถึงปัจจุบันยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นต้นเหตุของเพลิง
แต่ที่กล่าวมานั้น ชาวบ้านที่เชื่อใจเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ชาวบ้านหลายส่วนไม่เชื่อใจแนโร และประท้วงถอดถอนแนโร เป็นการประท้วงที่รุ่นแรงและยืดเยื้อ
  • ค.ศ. 66 ปอปปาเอียตั้งครรภ์อีกครั้ง แต่แนโร กำลังเครียดกับกลุ่มผู้ประท้วงที่จะปลดตนจากตำแหน่งจักรพรรดิให้ได้ จึงไม่ค่อยได้มาอยู่ที่วังมาดูแลปอปปาเอียและลูกในครรภ์ วันหนึ่งในปีเดียวกันนั้น แนโรกลับมาอยู่ที่วัง และพูดจาบางอย่างที่ทำให้ปอปปาเอียโมโห ปอปปาเอียจึงด่าว่าแนโรอย่างหนัก แนโรที่กำลังเครียดจึงพลั้งมือฆ่าปอปปาเอียตายพร้อมทั้งลูกในครรภ์
  • ค.ศ. 67 แนโรเครียดจัด ประกอบกับช่วงนั้นที่กรีซกำลังจะจัดกีฬาโอลิมปิกขึ้น แนโรตัดสินใจไปร่วมแข่งขัน ทั้ง ๆ ที่บ้านเมืองยังตึงเครียด ทิ้งภาระหน้าที่ไว้กับสภาสูง ระหว่างที่แนโรไม่อยู่นั้น สภาสูงลงมติว่าแนโรไม่ควรเป็นจักรพรรดิอีกต่อไป...
  • ค.ศ. 68 แนโรกลับจากกีฬาโอลิมปิก สภาสูงจึงส่งคนมาจับกุมโค่นอำนาจจักรพรรดิแนโร แนโรจึงฆ่าตัวตายในวันที่ 9 มิถุนายนขณะอายุไม่ถึง 31 ปี และการที่พระองค์ไม่ทีทายาทเลย ทำให้ราชวงศ์ยูลิอุส-เกลาดิอุส ต้องสิ้นสุดลง

กรณีเผากรุงโรม

แก้
 
จักรพรรดิแนโร

"แทกซิตัส" นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันที่มีชื่อเสียงในยุคของแนโรได้บันทึกข้อกล่าวหาไว้และถูกเชื่อถือกันมาตลอดระยะเวลา 2,000 กว่าปี ดังนี้

  1. ในระหว่างที่แนโรออกไปตากอากาศที่แอนติอุมเมืองชายทะเลได้เกิดเพลิงไหม้ในกรุงโรมและเมื่อแนโรทราบข่าวแต่พระองค์ก็ไม่เร่งรีบกลับพระนครอย่างใด
  2. คฤหาสถ์ของบรรดาวุฒิสมาชิกโรมันที่สร้างจากอิฐที่ไม่น่าติดไฟ แต่กลับถูกเพลิงเผาทำลายไปสิ้นนั้นน่าจะเกิดจากการวางเพลิงจากภายในแล้วสั่งทหารโรมันคอยเฝ้าขู่เพื่อไม่ให้มีการดับไฟ เนื่องจากความโกรธแค้นที่บรรดาวุฒิสมาชิกไม่ยอมอนุมัติให้พระองค์สร้างกรุงโรมใหม่
  3. ทิศทางเพลิงดูวิปริตผิดธรรมดา ไฟลามขึ้นสู่ทิศเหนือ และบ้างก็ลงใต้ ทั้งที่ลมพัดมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นลักษณะของการวางเพลิงอย่างชัดเจน

ปัจจุบัน เอริก วาร์นเนอร์ และ เฮนรี่ เฮิร์สต์ นักประวัติศาสตร์สองท่านที่มีชื่อเสียงไม่เชื่อในบันทึกของแทกซิตัส เนื่องจากในขณะที่กรุงโรมเกิดเพลิงไหม้นั้นแทกซิตัสมีอายุเพียง 8 ขวบ ซึ่งเข้าใจว่าแทกซิตัสอาจจะบันทึกตามคำบอกกล่าวของชาวโรมในสมัยนั้น โดยมีข้อสังเกตว่า

  1. แท้จริงแล้วมีบันทึกจากนักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยแนโรบันทึกไว้ว่า เมื่อแนโรทราบข่าวการเกิดเพลิงไหม้ก็รีบรุดกลับกรุงโรมทันที และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการหน่วยทหารดับเพลิงแห่งโรมด้วยพระองค์เอง
  2. ได้มีการทดลองสร้างคฤหาสถ์จำลองแบบโรมันซึ่งก่อด้วยอิฐจริงแล้วจุดไฟเผา ปรากฏว่าเมื่อโครงสร้างที่เป็นไม้ภายในไหม้ไฟทำให้เกิดความร้อนถึง 1,100 ดีกรี แม้อาคารที่ก่ออิฐก็แตกพังทลาย
  3. วิลล่าของแนโรชื่อ โดมุส ทรานซิโตเรีย ที่ทอดยาวตั้งแต่เนินพาลาทีนไปจนถึงเอสควอลีนก็ถูกไฟเผาไปด้วยเช่นกัน
  4. กลไกการเกิดเพลิงไหม้ใหญ่เนื่องจากกรุงโรมถูกล้อมด้วยเนินเขาสำคัญ 7 ลูก เมื่อไฟไหม้หนักขึ้นก็จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนมากขึ้น บนเนินเขาเตี้ยๆ ยังพอมีออกซิเจนเหลืออยู่มากกว่าพื้นดิน ไฟจึงโหมกระพือไปหาออกซิเจนทางเนินเขาที่อยู่ทิศเหนือบ้าง ทิศใต้บ้าง เป็นเรื่องปกติ

อย่างใดก็ตามแต่ นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าแนโรมีความผิดปกติทางจิตจริง โดยหลักฐานและบันทึกที่ปรากฏอยู่มากมาย แต่มีนักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยกับแนโรอยู่หลายท่านที่บันทึกเรื่องราวที่เป็นธรรมกับแนโรด้วยเช่นกัน เช่น

โยเซฟัส (Josephus) นักประวัติศาสตร์ที่เกิดและโตในรัชกาลของแนโร และมีอายุยืนถึง 70 ปี เขากล่าวว่า แท็กซิตัส และ ซูโตเนียส บันทึกกล่าวว่าร้ายใส่แนโรจนเกินไป เพราะทั้งสองคนนี้อยู่ในสมัยหลังแนโรถึง 50 ปี และสิ่งที่บันทึกล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ได้แต่ฟังมา ไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง

มาร์คัส แอนเนียส ลูคานัส นักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยแนโรอีกคนหนึ่งบันทึกว่า ไพร่ฟ้าต่างหน้าใสเมื่ออยู่ใต้การปกครองของแนโร เศรษฐกิจของกรุงโรมในขณะนั้นดีมากประชากรต่างร่ำรวย และเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่นั้นถูกเป็นเครื่องมือหาความชอบธรรมให้กับเหล่าสมาชิกสภาสูงในการโค่นอำนาจจักรพรรดิแนโร

อ้างอิง

แก้
ก่อนหน้า จักรพรรดิแนโร ถัดไป
จักรพรรดิเกลาดิอุส   จักรพรรดิโรมัน
(ค.ศ. 54 - ค.ศ. 68)
  จักรพรรดิกัลบา