กลบท
กลบท คือการประดิษฐ์คิดแต่งคำประพันธ์ให้มีลักษณะแปลกไปจากเดิม โดยที่ลักษณะบังคับของคำประพันธ์ชนิดนั้นยังอยู่ครบถ้วน คำประพันธ์ที่แต่งเป็นกลได้มีทั้ง โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย[1]
กลบทเป็นเครื่องแสดงสติปัญญาของกวีในการที่จะคิดค้นพลิกแพลงกวีนิพนธ์แบบฉบับให้มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษขึ้น โดยการเพิ่มลักษณะบังคับต่าง ๆ และเป็นเครื่องลับสมองลองปัญญาในหมู่กวีด้วยกัน ในการที่จะพยายามถอดรูปกลแบบที่ซ่อนไว้ให้สำเร็จ ผลพลอยได้คือความไพเราะของกวีนิพนธ์ แต่ก็มีกลบทจำนวนไม่น้อยที่ไพเราะสู้คำประพันธ์ธรรมดาไม่ได้ เนื่องจากลักษณะบังคับที่เพิ่มมาอาจจะไม่เอื้ออำนวยต่อความไพเราะ ตัวอย่าง เช่นกลบทบังคับใช้คำตายทุกคำ เป็นต้น[2]
การจำแนกแบบของกลบท
แก้กลบทแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบเพิ่มลักษณะบังคับ และแบบซ่อนรูปคำประพันธ์
แบบเพิ่มลักษณะบังคับ
แก้กลแบบนี้ถึงแม้จะมีการเพิ่มลักษณะบังคับ แต่รูปคำประพันธ์ยังคงเหมือนเดิม เรียกว่า กลอักษร ตัวอย่างเช่น
บังคับใช้พยัญชนะเสียงเดียวกันตลอดบาทและซ้ำคำสองคำแรกของทุกบาท
สรวลสรวลสู่โศกเศร้า | แสนศัลย์ | |
ตอกตอกแต่ตันตัน | ติดต้อง | |
ยั่วยั่วย่อยยับยรร- | ยงยาก | |
ครบครบเข็ญคามคล้อง | คลุกเคล้าขื่นขม | |
— เลือดเนื้อเพื่อไทย |
บังคับพยัญชนะ 2 เสียงสลับกันตลอดบท
สำเริงสำราญสานรัก | สมานสมัคร | |
สุมิตรสุมนสมัย |
รุมเคียวเรี่ยวแรงใคร | เกี่ยวรำกำไร | |
ได้พูดได้พ้อโดยเพลง | ||
— เพื่อนแก้วคำกาพย์ |
บังคับซ้ำคำต้นวรรคและท้ายวรรคทุกวรรค
ริ้วรวงพวงข้าวริ้ว | เห็นพริ้วพริ้วริ้วทองเห็น | |
เย็นลมลมเช้าเย็น | เรียวรวงเล่นระเนนเรียว |
ข้าวปรังสั่งทุกข้าว | เคียวจะน้าวด้วยชาวเคียว | |
เกลียวรักถักรัดเกลียว | ลงแขกเกี่ยวเร่งเคียวลง | |
— เพื่อนแก้วคำกาพย์ |
แบบซ่อนรูปคำประพันธ์
แก้ผู้แต่งจะจัดวางคำประพันธ์เป็นรูปต่างจากเดิม ผู้อ่านจะต้องทราบฉันทลักษณ์คำประพันธ์ชนิดนั้น จึงจะถอดคำอ่านได้ถูกต้อง กลชนิดนี้เรียก กลแบบ อาจมีทั้งการซ่อนรูปคำประพันธ์และการเพิ่มลักษณะบังคับด้วย เช่น
ซ่อนรูปคำประพันธ์
ถอด
เสียงนกเรียมคิดว้า | หวั่นมิตร แม่เฮย | |
หวาดว่าเสียงสายจิตร | แจ่มแจ้ว | |
โอ้อกนกนิ่งคิด | ใจหวั่น ถวิลแม่ | |
ฟังหวาดแว่วเสียงแก้ว | จิตรร้องแจ้วเสียง | |
— ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ |
ซ่อนรูปคำประพันธ์ และเพิ่มลักษณะบังคับ
ถอด
พักตร์ผ่องผ่องพักตร์เพี้ยง | จันทร | |
คมเนตรเนตรคมศร | บาดซ้ำ | |
งามแง่แง่งามงอน | มารยาท | |
งามศักดิ์ศักดิ์งามล้ำ | เลิศล้ำศักดิ์งาม | |
— ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ |
โคลงบทนี้นอกจากจะซ่อนรูปคำประพันธ์แล้วยังเพิ่มลักษณะบังคับให้ซ้ำคำต้นบาทและท้ายบาท ทุกบาทด้วย
ความเป็นมาของกลบท
แก้มีหลักฐานเชื่อได้ว่ากวีไทยได้แบบอย่างการแต่งกลบทมาจากอินเดีย ในคัมภีร์สุโพธาลังการ อันเป็นตำราอังการศาสตร์ฉบับบาลี ที่รวมรวมขึ้นโดยพระสังฆรักขิต ประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 และตำราอลังการศาสตร์ฉบับสันสกฤตของวาคภัฏที่รวบรวมขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ล้วนปรากฏกลวิธีการประพันธ์ที่มีลักษณะเหมือนกับกลบทของไทยอยู่[3]
ตำรากลบท
แก้วรรณกรรมที่ถือกันว่าเป็นตำรากลบทของไทยมี 3 เล่ม คือ
เป็นแบบเรียนภาษาไทยเล่มแรก แต่งขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เนื้อหาประกอบด้วย การใช้สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ การแจกลูก การผันอักษร อักษรศัพท์ อักษรเลข การสะกดการันต์ การแต่งคำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ และกลบท ซึ่งปรากฏกลบทอยู่ 60 ชนิด มีทั้งกลอักษรและกลแบบ
ศิริวิบุลกิตติ์ ของ หลวงศรีปรีชา (เซ่ง)
แก้เป็นวรรณกรรมที่แต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย เนื้อเรื่องนำมาจากศิริวิบุลกิตติ์ชาดก แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทกลอน โดยใช้กลบทชนิดต่าง ๆ สลับกันตลอดเรื่อง รวมกลบททั้งสิ้น 85 ชนิด เป็นกลอักษรทั้งหมด มีทั้งที่ซ้ำและต่างจากกลบทในจินดามณี
ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ
แก้พ.ศ. 2375 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ และทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้รวบรวมเลือกสรรตำรับตำราต่าง ๆ โดยตรวจแก้จากของเดิมบ้าง ประชุมผู้รู้ให้แต่งขึ้นใหม่บ้าง ทั้งด้านวรรณคดี โบราณคดี และวิชาอื่น ๆ และโปรดฯ ให้จารึกแผ่นศิลาประดับไว้ในบริเวณวัดพระเชตุพนฯ ต่อมามีการรวบรวมพิมพ์เป็นหนังสือขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2472 มีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ตำรากลบทอยู่ในหมวดวรรณคดี มีทั้งหมด 97 ชนิด มีทั้งกลอักษร และกลแบบ กลอักษรส่วนใหญ่ซ้ำกับกลบทในศิริวิบุลกิตติ์
เปรียบเทียบกลบทในตำรากลบท
แก้กลบทจากตำรากลบททั้ง 3 เล่ม เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบกลบทที่มีเฉพาะในเล่มใดเล่มหนึ่ง พบว่ากลบทที่มีเฉพาะในจินดามณี มีจำนวน 18 ชนิด กลบทที่มีเฉพาะในศิริวิบุลกิตติ์ มีจำนวน 30 ชนิด กลบทที่มีเฉพาะในประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ มีจำนวน 10 ชนิด
นอกจากนี้ยังปรากฏกลบทที่มีลักษณะบังคับเหมือนกันแต่ชื่อต่างกัน เช่น หมายกงรถ, สกัดแคร่, ทวารตรึงประดับ, จักรวาล, ครอบจักรวาล และทวารตรีประดับ เป็นต้น และที่ชื่อเหมือนกันแต่ลักษณะบังคับต่างกัน เช่น สารถีชักรถมี 2 แบบ, นกกางปีกมี 2 แบบ, ช้างประสานงามี 2 แบบ เป็นต้น
กลบทในกวีนิพนธ์ไทย
แก้การใช้กลบทในกวีนิพนธ์
แก้กวีไทยใช้กลบทกับคำประพันธ์ทุกชนิด โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของกลบทที่นำมาใช้ คำประพันธ์ที่ไม่มีข้อจำกัดในการเลือกใช้กลบท คือ โคลง กาพย์และกลอน ส่วนร่ายนั้นค่อนข้างมีข้อจำกัดและมีจำนวนคำน้อย ส่วนฉันท์บังคับครุและลหุตายตัวทำให้ยุ่งยากในการเพิ่มลักษณะบังคับ จึงมีกลบทไม่มากส่วนใหญ่มีลักษณะซ้ำคำ เช่น ธงนำริ้ว, บัวบานกลีบขยาย, กวางเดินดง เป็นต้น
บางครั้งกวีอาจจำเป็นต้องมีการดัดแปลงฉันทลักษณ์เพื่อให้เหมาะกับกลบทเช่น การเพิ่มคำ เป็นต้น หรือบางครั้งอาจมีการใช้กลบทหลาย ๆ แบบผสมกันก็ได้
การปรากฏของกลบทในกวีนิพนธ์
แก้กวีนิพนธ์ที่ใช้กลบทตลอดเรื่อง มี 4 เรื่อง ได้แก่ โคลงอักษรสามหมู่ ของพระศรีมโหสถ (ใช้กลบทชนิดเดียวตลอดเรื่อง), ศิริวิบุลกิตติ์ ของหลวงศรีปรีชา (เซ่ง), โคลงดั้นเรื่องปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ ของกรมพระปรมานุชิตชิโนรส, และกลบทสุภาษิต ของหลวงธรรมาภิมณฑ์
กวีนิพนธ์ที่มีกลบทแทรกอยู่ มีปรากฏอยู่ค่อนข้างมากทุกสมัย ตลอดจนปัจจุบัน ซึ่งกวีนิยมแต่งแทรกไว้มากกว่าจะใช้กลบทตลอดเรื่อง นิยมใช้กลอักษรมากกว่ากลแบบ และนิยมใช้กลบทประเภทบังคับเสียงมากกว่ากลบทบังคับอักขรวิธีและฉันทลักษณ์
พัฒนาการของกลบทในกวีนิพนธ์
แก้กวีมีอิสระในการนำกวีนิพนธ์ไปใช้ในงานของตน รวมทั้งพลิกแพลงใช้กลบทตามความชอบใจของตน จึงมักมีกลใหม่ที่ไม่มีอยู่ในตำรากลบท เช่น กลบทต่อบทต่อคำ ในเพื่อนแก้วคำกาพย์ ที่มีลักษณะคล้ายวัวพันหลัก แต่ซ้ำเฉพาะคำสุดท้ายของบท กับคำแรกของบทต่อไป เป็นต้น
บางครั้งมีการพลิกแพลงกลบทเดิมให้แปลกออกไป มีการพลิกแพลงกลกระทู้เป็นกระทู้ทุกวรรค กระทู้ทุกบาท กระทู้ทุกบท ฯลฯ รวมทั้งมีการนำกลบทหลาย ๆ ชนิดมาต่างร่วมกัน
ส่วนเนื้อความที่กวีนิยมแทรกกลบทได้แก่ บทไหว้ครู บทพรรณนาต่าง ๆ เช่น ความงาม ความรัก ธรรมชาติ การจัดขบวนทัพ การสู้รบ ตลอดจนการจบเรื่องเพื่อบอกชื่อผู้แต่ง และวัตถุประสงค์ในการแต่ง
อ้างอิง
แก้- ↑ อุทัย สินธุสาร. สารานุกรมไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ, 2516.
- ↑ สุภาพร มากแจ้ง. กวีนิพนธ์ไทย 1. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2535.
- ↑ โกชัย สาริกบุตร. การวิเคราะห์กลบทในกวีนิพนธ์ไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2518.