กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่เรียกกันเป็นสามัญว่าวังหน้า เป็นตำแหน่งที่พระมหากษัตริย์สยามทรงสถาปนาขึ้นสำหรับพระมหาอุปราช และมีฐานะเป็นองค์รัชทายาทผู้มีสิทธิ์ที่จะขึ้นครองราชสมบัติต่อไป
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล | |
---|---|
จวน | พระราชวังบวรสถานมงคล |
ผู้แต่งตั้ง | พระมหากษัตริย์สยาม |
วาระ | ตลอดพระชนม์ชีพ |
ผู้ประเดิมตำแหน่ง | พระเอกสัตราชพระมหาอุปราช |
สถาปนา | พ.ศ. 1981 |
คนสุดท้าย | กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ |
ยกเลิก | พ.ศ. 2428 |
ตำแหน่งที่มาแทน | สยามมกุฎราชกุมาร |
ตำแหน่งพระมหาอุปราชปรากฏครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ต่อมาสมเด็จพระเพทราชาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" ภายหลังจากการเสด็จทิวงคตของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เลิกธรรมเนียมตั้งพระมหาอุปราช แล้วทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชแทน[1]
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นยังไม่การการแต่งตั้งตำแหน่งพระมหาอุปราช เพียงแต่มีแต่งตั้งเจ้านายเพื่อไปครองเมืองต่าง ๆ เท่านั้น เช่น สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 โปรดให้สมเด็จพระราเมศวรเจ้าพระราชโอรสไปครองเมืองพิษณุโลกในปี พ.ศ. 1981[2] เมื่อสมเด็จพระราเมศวรเจ้าเสวยราชสมบัติทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงโปรดให้สถาปนาสมเด็จพระเชษฐาธิราชเจ้าที่เพิ่งลาผนวชเป็นพระมหาอุปราชเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2028[3]
ตำแหน่งพระมหาอุปราชยิ่งเด่นชัดยิ่งขึ้นอีกในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จไปครองเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงสร้าง "พระราชวังจันทรเกษม" ขึ้นที่หน้าพระราชวังหลวงเพื่อเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรเวลาเสด็จมายังกรุงศรีอยุธยา จึงเป็นที่มาของคำว่า "วังหน้า" ต่อมา เมื่อสมเด็จพระนเรศวรขึ้นครองราชย์ โปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระเอกาทศรถ สมเด็จพระอนุชาธิราชเป็นที่พระมหาอุปราช รับพระราชโองการ มีพระเกียรติยศเสมอพระเจ้าแผ่นดิน[4]
ในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา ได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาหลวงสรศักดิ์พระราชโอรสบุญธรรมเป็นพระมหาอุปราช ประทับ ณ วังหน้า พร้อมทั้งบัญญัติศัพท์นามสังกัดวังหน้าว่า "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ สถาปนานายจบคชประสิทธิ์ให้ดำรงพระยศเป็นวังหลัง พระราชทานวังหลังเป็นที่ประทับ พร้อมทั้งบัญญัติศัพท์นามวังหลังว่า "กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข" เป็นครั้งแรก[5]
สมัยกรุงธนบุรี
เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2325 ขณะกรมขุนอินทรพิทักษ์ และพระยากำแหงสงคราม (บุญคง) ตั้งทัพอยู่ที่เมืองพุทไธเพชร (บันทายเพชร ราชธานีของกัมพูชา) สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ ได้ยกทัพกลับกรุงธนบุรี และปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พร้อมกับสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และพระบรมวงศานุวงศ์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินที่เป็นชาย [6] ได้ส่งทหารตามจับกุมตัวกรมขุนอินทรพิทักษ์ พร้อมด้วยพระยากำแหงสงคราม และทหารองครักษ์จำนวน 5 คน ได้ในป่าตำบลเขาน้อย สระบุรี [6]
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกตรัสถามกรมขุนอินทรพิทักษ์ว่าทรงยินดีที่จะไว้พระชนม์ให้ แต่กรมขุนอินทรพิทักษ์ทรงยืนยันที่ขอตายตามสมเด็จพระเจ้าตากสิน สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงโปรดเกล้าฯ ให้นำตัวเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ไปสำเร็จโทษพร้อมกับพระยากำแหงสงคราม[6] และพระอนุชา คือเจ้าฟ้าน้อย เมื่อวันเสาร์ เดือน 6 แรม 8 ค่ำ พ.ศ. 2325[7]
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ไม่มีความแตกต่างจากสมัยอยุธยาเท่าไรนัก กรมพระราชวังบวรสถานมงคลจะประทับอยู่ที่พระราชวังบวรสถานมงคลมาโดยตลอด
หลังจากการเสด็จทิวงคตของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดขึ้นดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลอีก จนกระทั่ง พ.ศ. 2429 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นพระองค์แรกที่ทรงดำรงตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมาร ทำให้ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลถูกยกเลิกตั้งแต่นั้นมา
อนึ่ง สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงพระฐานันดรศักดิ์เสมอด้วยสมเด็จพระบวรราชเจ้าในพระบรมราชวงศ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์[1]
พระบัณฑูร
พระบัณฑูร คือ คำสั่งของพระมหาอุปราช มาจากภาษาเขมร แปลว่า "สั่ง" สำหรับคำสั่งของพระมหากษัตริย์นั้นใช้คำว่า "พระราชโองการ" ในการสถาปนาพระมหาอุปราชตั้งแต่อดีตนั้น มักเรียกว่า "วังหน้ารับพระบัณฑูร"
ส่วน "วังหน้ารับ (บวร) ราชโองการ" นั้น เป็นพระมหาอุปราชที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ 2 เสมอกับพระองค์ มีเพียง 2 พระองค์ ได้แก่
รายพระนามพระมหาอุปราชและกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- ↑ 1.0 1.1 ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระบรมราชชนก และ สมเด็จพระบรมราชชนนี เก็บถาวร 2011-12-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๘๗, ตอน ๕๒, ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๓, ฉบับพิเศษ หน้า ๑
- ↑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น, หน้า 395
- ↑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น, หน้า 400
- ↑ พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า), หน้า 20
- ↑ พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า), หน้า 24
- ↑ 6.0 6.1 6.2 "ฐานข้อมูลรากฐานไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2005-05-09. สืบค้นเมื่อ 2021-10-01.
- ↑ ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๙ หน้า ๑๓๘
- ↑ จุลลดา ภักดีภูมินทร์, พระบัณฑูร เก็บถาวร 2007-09-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สกุลไทย, ฉบับที่ 2435, ปีที่ 47, 19 มิถุนายน 2544
- ↑ จุลลดา ภักดีภูมินทร์, วังหน้ารับพระบัณฑูร และ วังหน้ารับราชโองการ เก็บถาวร 2007-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สกุลไทย, ฉบับที่ 2739, ปีที่ 53, 17 เมษายน 2550
- ↑ 10.0 10.1 หมวดขัตติยตระกูล หน้า 3
- บรรณานุกรม
- กรมศิลปากร. พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า). นนทบุรี : รุ่งศิลป์การพิมพ์, 2558. 127 หน้า. ISBN 978-616-283-232-1
- ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตำนานวังน่า. พระนคร : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2462. [พิมพ์แจกในงานศพนางสุ่น ชาติโอสถ ปีมะแม พ.ศ. 2462]
- ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ประชุมพระนิพนธ์ ภาค ๒. กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, 2494. 359 หน้า.
- พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2553. 800 หน้า. ISBN 978-616-7146-08-9