กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ
กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือ TICA เป็นส่วนราชการระดับกรมสังกัดกระทรวงการการต่างประเทศ มีหน้าที่หลักในการจัดการและดำเนินงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศไทยกับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความช่วยเหลือทางวิชาการและการแลกเปลี่ยนความรู้
Thailand International Cooperation Agency | |
ตราประจำกรมความร่วมระหว่างประเทศ | |
ภาพรวมกรม | |
---|---|
ก่อตั้ง | 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2493 |
กรมก่อนหน้า |
|
ประเภท | ส่วนราชการ |
เขตอำนาจ | ทั่วราชอาณาจักร |
สำนักงานใหญ่ | อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ชั้น 8 ฝั่งทิศใต้ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210 |
งบประมาณต่อปี | 424,287,900 บาท (พ.ศ. 2566) |
ฝ่ายบริหารกรม |
|
ต้นสังกัดกรม | กระทรวงการต่างประเทศ |
เว็บไซต์ | กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ |
ประวัติ
แก้กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ เริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. 2493 รัฐบาลไทยได้ก่อตั้ง คณะกรรมการความร่วมมือทางเทคนิคและเศรษฐกิจ ขึ้นเพื่อดูแลโครงการช่วยเหลือทางเทคนิคจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปภายในประเทศไทย กรมนี้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรต่างประเทศ ต่อมาได้ยกฐานะเป็น กรมวิเทศสหการ ในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2506[1] สังกัดกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 จึงโอนมาสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี[2] กรมวิเทศสหการมีหน้าที่ตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนไปจนถึงการประเมินผลโครงการ เมื่อประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและมีการพัฒนาที่ดีจนถึงต้นศตวรรษที่ 21 ประเทศไทยก็เปลี่ยนสถานะจากผู้รับความช่วยเหลือมาเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2545 กรมวิเทศสหการโอนมาสังกัดกระทรวงการการต่างประเทศ ต่อมาได้ยุบกรมวิเทศสหการมาก่อตั้ง สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2547[3] ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการให้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น กรมความมือระหว่างประเทศ ในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558[4] แล้วยังใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน
หน่วยงานในสังกัด
แก้กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ มีส่วนราชการในสังกัด ดังต่อไปนี้[5]
- สำนักงานเลขานุการกรม
- กองความร่วมมือด้านทุน
- กองความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ
- กองส่งเสริมและประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ
หน้าที่และภารกิจหลัก
แก้กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ มีหน้าที่ให้การสนับสนุนเป็นหลักกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม ในช่วงหลังนี้ยังขยายความช่วยเหลือไปยังติมอร์-เลสเต ศรีลังกา และบางประเทศในแอฟริกาด้วย โครงการเหล่านี้สามารถได้รับการสนับสนุนทางการเงินโดยเฉพาะจากประเทศไทยเองหรือร่วมกับพันธมิตรต่างชาติ โดยทั่วไปแล้ว ทำงานร่วมกับองค์กรพันธมิตรกว่า 100 องค์กร (ทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน) ซึ่งรวมถึงองค์กรความร่วมมือด้านเทคนิคของเยอรมนี (GTZ) ด้วย
นอกจากนี้ ยังให้คำปรึกษาแก่องค์กรต่างประเทศเกี่ยวกับโอกาสทางการศึกษาในประเทศไทย และสนับสนุนให้เข้ามาศึกษาในประเทศไทย อีกทั้งยังจัดการเรื่องการจัดหาวัสดุอุปกรณ์สำหรับโครงการช่วยเหลือทางเทคนิคจำนวนมาก และให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับภาษี การต่อวีซ่าของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ อาสาสมัคร และสมาชิกองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร (NGO) ที่ได้รับการรับรอง
- ความร่วมมือทางวิชาการ: มีบทบาทในการจัดและสนับสนุนโครงการฝึกอบรมต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่จากประเทศที่กำลังพัฒนา ทั้งในประเทศไทยและในประเทศนั้นๆ
- ความช่วยเหลือทางการเงินและเทคนิค: ยังทำหน้าที่จัดหาและส่งมอบความช่วยเหลือทางการเงินและเทคนิคในรูปแบบต่างๆ ให้กับประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยอาจเป็นความช่วยเหลือทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา สาธารณสุข หรือด้านอื่นๆ
- โครงการความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคี: จัดการและดำเนินโครงการร่วมกับประเทศต่างๆ รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคและทั่วโลก
- การส่งผู้เชี่ยวชาญไทยไปยังต่างประเทศ: ยังทำหน้าที่ส่งผู้เชี่ยวชาญไทยไปยังประเทศต่างๆ เพื่อให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในด้านที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญ
กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ถือเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในเวทีนานาชาติในฐานะประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคและโลก
ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาของประเทศไทยให้แก่ต่างประเทศ
แก้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ หรือ Official Development Assistance - ODA แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
- ความช่วยเหลือแบบเงินให้เปล่า/ความร่วมมือทางวิชาการ (Grant and Technical Cooperation)
- ความช่วยเหลือทางการเงิน หรือเงินกู้ผ่อนปรน (Financial Assistance and Soft Loan)
- เงินบริจาค/เงินสนับสนุนแก่องค์กรพหุภาคีและองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร (Contribution to International Organizations)
ซึ่งในปี 2021 มูลค่าความร่วมมือเพื่อการพัฒนาของประเทศไทยให้แก่ต่างประเทศ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- มูลค่ารวมของ ODA ของไทยในปี 2564:
- รวมมูลค่า 2,519.98 ล้านบาท
- แบ่งออกเป็น:
- เงินงบประมาณที่ให้ในรูปแบบเงินกู้ (งบเงินกู้ต่างประเทศ): 761.50 ล้านบาท (30.22%)
- เงินช่วยเหลือ: 767.46 ล้านบาท (30.45%)
- ความร่วมมือทางวิชาการ: 991.02 ล้านบาท (39.33%)
- หน่วยงานที่ให้ความร่วมมือเพื่อการพัฒนามากที่สุด:
- รวมทั้งหมด 2,519.98 ล้านบาท โดยหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือมากที่สุด ได้แก่:
- สบค.ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาฯ: 871.06 ล้านบาท
- กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ: 425.82 ล้านบาท
- กระทรวงการต่างประเทศ: 390.35 ล้านบาท
- กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม: 179.84 ล้านบาท
- รวมทั้งหมด 2,519.98 ล้านบาท โดยหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือมากที่สุด ได้แก่:
- มูลค่าความร่วมมือเพื่อการพัฒนาของกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ปี 2564:
- รวม 351.97 ล้านบาท คิดเป็น 13.97% ของมูลค่าความร่วมมือเพื่อการพัฒนาของไทยในปี 2564
- ความร่วมมือทางวิชาการ: 310.14 ล้านบาท (88.11% ของความร่วมมือเพื่อการพัฒนาของ TICA)
- การกระจายตามกลุ่มประเทศ:
- CLMV: 246.24 ล้านบาท
- SOUTH ASIA AND MIDDLE EAST: 40.47 ล้านบาท
- SOUTHEAST ASIA: 10.59 ล้านบาท
- OTHERS: 23.19 ล้านบาท
- เงินอุดหนุนที่ไทยมอบให้องค์การระหว่างประเทศ:
- รวม 418.3 ล้านบาท คิดเป็น 5.49% ของมูลค่าเงินอุดหนุนเพื่อการพัฒนา
- หน่วยงานที่ได้รับเงินอุดหนุนมากที่สุด:
- กรมความร่วมมือฯ: 418.3 ล้านบาท
- กระทรวงอุตสาหกรรม: 47.9 ล้านบาท
- กระทรวงการคลัง: 87.77 ล้านบาท
- TICA Contribution 2021:
- UNDP: 15.46 ล้านบาท
- TUSEF: 10.00 ล้านบาท
หมายเหตุ
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๐๖, เล่ม ๘๐ ตอนที่ ๕๐ ก ฉบับพิเศษ หน้า ๙, ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๐๖
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๖, เล่ม ๘๙ ตอนที่ ๑๔๕ ก ฉบับพิเศษ หน้า ๔, ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๗, เล่ม ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๖๒ ก หน้า ๑, ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๗
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๕๘, เล่ม ๑๓๒ ตอนที่ ๔ ก หน้า ๑, ๒๒ มกราคม ๒๕๕๘
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๔, เล่ม ๑๓๘ ตอนที่ ๓๙ ก หน้า ๖, ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๔